ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1725 มารับผิด
บทที่ 1725 มารับผิด
เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา ทั่วเมืองหลวงบรรยากาศครึกครื้น บนถนนหนทางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และถานอวี้ซูยังนำข่าวหนึ่งมาแจ้งที่ทำให้กู้เสี่ยวหวานต้องขมวดคิ้ว
“ฮ่องเต้ประกาศราชโองการใต้เท้าฟางแต่งงานกับหวงหรูซื่อ” ถานอวี้ซูถอนหายใจ แล้วพูดว่า “อย่างไรก็ตามข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าฟางต้องหย่ากับภรรยาเอก เขาบอกว่าอายุสี่สิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีลูกชาย ทั้งยังบอกว่าฮูหยินฟางละเมิดกฎเจ็ดข้อ ดังนั้นจึงต้องการหย่าขาดกับนาง”
ถานอวี้ซูขมวดคิ้ว ยกชาขิงขึ้นกระดกหนึ่งอึก จากนั้นพูดอย่างพอใจ “อาจั่วยังมีชาขิงอยู่หรือไม่ ดื่มแล้วรู้สึกว่าร่างกายอุ่นไปหมด ฝีมือชงชาขิงของท่านอาดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย”
กู้เสี่ยวหวานยังถือถ้วยชาในมือ เมื่อได้ยินสิ่งนี้จึงหัวเราะเบา ๆ “เจ้าเคยเกลียดกลิ่นของขิงไม่ใช่หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าไม่รู้ว่าท่านอามีเคล็ดลับอะไรถึงทำให้ข้าชอบรสขิงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่ได้รู้สึกเผ็ดเหมือนเมื่อก่อนเลย” ถานอวี้ซูประหลาดใจ
อาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู “จวิ้นจู่ สิ่งนี้คือเคล็ดลับของคุณหนู เนื่องจากท่านไม่ชอบดื่มชาขิงดังนั้นจึงผสมสมุนไพรเพื่อสุขภาพลงไป เช่น น้ำตาลทรายแดง เก๋ากี้ ดอกเก๊กฮวยแล้วปล่อยให้มันเย็นลง และขั้นตอนสุดท้ายจะมีการใส่น้ำผึ้งลงไป ซึ่งจะทำให้รสเผ็ดของขิงลดลงเจ้าค่ะ”
ถานอวี้ซูมองอาจั่วรินชาขิงลงชามอีกใบ พลางเอ่ยชม “ชาหลงจิ่ง ชาโหวขุยหรือเหมาเฟิงก็ไม่ดีเท่าชานี้ ดื่มไปแล้วทั้งหอมทั้งหวาน แถมยังทำให้ร่างกายอบอุ่นอีกด้วย”
“มันจะดีมากถ้ามีคนคิดเหมือนท่าน ครั้งก่อนที่คุณหนูหลิวมา นางไม่ชอบรสชาติของมันด้วยซ้ำทั้งยังคิดว่ามันไม่ใช่ของคุณภาพสูง” อาจั่วกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ถานอวี้ซูก็วางชาในมือลง “คุณหนูหลิว คุณหนูหลิวคือใคร? ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคุณหนูแซ่หลิวอยู่ในเมืองหลวงมาก่อน”
ในความทรงจำของนาง ไม่มีขุนนางแซ่หลิวในเมืองหลวง แล้วคุณหนูหลิวผู้นี้คือใครกัน
“เป็นสองพี่น้องตระกูลหลิวที่เราเจอในงานเลี้ยงบทกวีครั้งนั้น” กู้เสี่ยวหวานยิ้ม
“พวกนางมาทำอะไรที่นี่” ถานอวี้ซูถามใคร่สงสัย
คุณหนูหลิวสองคนนั้น ตนไม่เคยเห็นพวกนางที่เมืองหลวงมาก่อน แต่ภายหลังพบว่าพ่อของพวกนางเป็นเพียงขุนนางระดับห้าเท่านั้น
ถานอวี้ซูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เหลือบมองไปที่กู้เสี่ยวหวานพลางถามว่า “ท่านพี่ พวกนางมาทำอะไรที่นี่”
“นางบอกว่าการร่ายรำของข้าในท้องพระโรงวันนั้นช่างโด่งดัง และต้องการให้ข้าร่ายรำให้พวกนางดู” กู้เสี่ยวหวานจิบชาพลางเอ่ยแผ่วเบา
ตึง!
สิ้นประโยคของกู้เสี่ยวหวาน พลันได้ยินถานอวี้ซูทุบโต๊ะ และเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง “บังอาจนัก เป็นเพียงลูกสาวของขุนนางระดับห้า แต่กล้าให้จวิ้นจู่ร่ายรำให้ตนเองดู กล้าหาญเสียจริง”
เมื่อเห็นท่าทางดุร้ายของถานอวี้ซู กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะ “เป็นเรื่องดีที่เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนั้น มิเช่นนั้น ท่าทางที่ดุร้ายนี้อาจทำให้พวกนางตกใจได้”
“ถ้าตอนนั้นข้าอยู่ที่นี่ด้วย ข้าคงไล่ตะเพิดพวกนางไปแล้ว” ถานอวี้ซูขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน
“เกรงว่าคงเห็นข้าเป็นเพียงสาวชาวนา” กู้เสี่ยวหวานพูดเบา ๆ ครั้งที่แล้วนางไม่ได้ไว้หน้าคนพวกนั้น และนางไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนั้น
“คราวหน้าเข้าวัง ข้าจะนำเรื่องนี้ทูลแก่ไทเฮา ลูกสาวของขุนนางระดับห้ากล้าดีอย่างไรมาสั่งจวิ้นจู่ระดับสองแบบนี้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว” ถานอวี้ซูพูดอย่างขมขื่นโดยหวังว่านางจะดึงสองพี่น้องตระกูลหลิวมาลงโทษได้สักสองสามที
แต่ในขณะนี้ โค่วตันเข้ามาและรายงานว่า “แม่นาง คุณหนูหลิวมาอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมนางยังมีหน้ามาที่นี่อีก” ถานอวี้ซูโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ “รีบให้นางเข้ามา ข้าจะจัดการนางเสีย”
เมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของถานอวี้ซู กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธแทนนาง และไม่รู้ว่าทำไม ยามเห็นใครบางคนปกป้องตนเองเช่นนี้ ความคับข้องใจของกู้เสี่ยวหวานในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็หายไปอย่างสมบูรณ์
“เอาล่ะ อวี้ซูนั่งลงก่อน อย่าเพิ่งโกรธเลย อย่าโกรธจนทำให้เสียสุขภาพจิตเลย” กู้เสี่ยวหวานเอ่ย จากนั้นมองไปที่โค่วตันพลางเอ่ยว่า “ให้นางกลับไป ข้าไม่อยากเจอนาง”
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่อยากพบเจอนาง ถานอวี้ซูก็ค่อนข้างไม่พอใจ “ท่านพี่ ทำไมถึงไล่นางกลับไปเช่นนี้เจ้าคะ นางไม่เคารพท่าน วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้นางเอง”
กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้ม พลางเกลี้ยกล่อม “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้า แต่อย่าโกรธมากจนทำสุขภาพจิตเสียเพราะคนเหล่านั้น และข้าก็ยังมีความอดทนต่อพวกเขาอยู่”
ทันทีที่พูดจบ โค่วตันเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดกลับมา “คุณหนู นางบอกว่านางจะไม่ยอมไปไหน และต้องการพบคุณหนูให้ได้ ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมมากแค่ไหนนางก็จะนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตู”
นี่เป็นครั้งแรกที่โค่วตันเห็นผู้หญิงไร้ย่างอายเช่นนี้ ครั้งที่แล้วนางทำให้คุณหนูอับอาย ครั้งนี้จึงจะมาขอโทษงั้นหรือ
พูดผิดและทำผิด ตอนนี้คิดจะมาขอโทษ เหอะ มันสายไปแล้ว
คุณหนูหลิวผู้นั้นเป็นสตรี โค่วตันจึงไม่สามารถโยนนางออกไปได้ ไม่เช่นนั้นนางคงลากอีกฝ่ายออกไปให้พ้นหน้าสวนชิงแล้ว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ถานอวี้ซูก็ขมวดคิ้วอีกครั้งและพูดว่า “หากไล่นางแล้วไม่ยอมไป นางคงมาเพื่อโดนข้าสั่งสอนจริง ๆ เช่นนั้นข้าจะไปจัดการนางเดียวนี้แหละ”
ถานอวี้ซูสะบัดแขนเสื้ออย่างเดือดดาล และเดินตรงไปที่ประตูโดยไม่สนเสียงเรียกของกู้เสี่ยวหวานด้านหลัง
ครั้นเห็นนางเร่งฝีเท้ารวดเร็ว กู้เสี่ยวหวานก็กลัวว่านางจะล้มเอาได้ ดังนั้นจึงรีบสั่งให้โค่วตันตามนางไป “พวกเราไปกันเถอะ อวี้ซูเดือดดาลเพียงนี้ ข้าเกรงว่าคุณหนูหลิวจะไม่รอด”
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูสวนชิง พวกเขาเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูคือหลิวเสวี่ยอิ๋ง หากแต่ไร้วี่แววของหลิวซืออี๋ซึ่งมักจะตัวติดกันเสมอ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ทันทีที่มาถึงถานอวี้ซูก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่าย
หลิวเสวี่ยอิ๋งยืนอยู่ที่ประตูเพื่อรออันผิงจวิ้นจู่ แต่นางไม่รู้ว่าฮู้กั๋วจวิ้นจู่จะเป็นคนออกมา เมื่อเห็นท่าทางมาดร้ายของถานอวี้ซู จึงเดาว่าถานอวี้ซูรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน หัวใจของหลิวเสวี่ยอิ๋งพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ
ทุกคนในเมืองหลวงรู้ว่าฮู้กั๋วจวิ้นจู่และอันผิงจวิ้นจู่เป็นเพื่อนสนิทกันและความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปรียบดั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เมื่อเห็นว่าพี่สาวต้องทนทุกข์ทรมาน อีกฝ่ายจึงคิดสะสางบัญชีกับนาง หลิวเสวี่ยอิ๋งคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล “เสวี่ยอิ๋งทักทายฮู้กั๋วจวิ้นจู่”
……….