ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1726 เสวี่ยอิ๋งมาขอโทษ
บทที่ 1726 เสวี่ยอิ๋งมาขอโทษ
“ข้าถามเจ้า เจ้ามาที่นี่เพื่อรับการลงโทษใช่หรือไม่ เจ้ากล้าดีอย่างไรที่ดูถูกอันผิงจวิ้นจู่ เจ้าช่างกล้าจริง ๆ!” ถานอวี้ซูตวาดลั่นไม่พอใจ
เมื่อหลิวเสวี่ยอิ๋งได้ยินเช่นนี้ นางก็ยิ่งกระวนกระวายเหมือนมดบนกระทะร้อน
เห็นหรือไม่ เห็นหรือไม่
ฮู้กั๋วจวิ้นจู่รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงต้องการสะสางบัญชีด้วยตัวเอง หากวันหนึ่งทำให้อันผิงจวิ้นจู่อับอายจริง ๆ…
หลิวเสวี่ยอิ๋งไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น “ตอบกลับฮู้กั๋วจวิ้นจู่ ครั้งนี้เสวี่ยอิ๋งมาที่นี่เพื่อขอโทษอันผิงจวิ้นจู่ ลูกพี่ลูกน้องของข้าวาจาสามหาว ไร้มารยาท ท่านพ่อตำหนินางและส่งตัวกลับไปยังทงโจวแล้ว และนางได้รับคำสั่งไม่ให้ทำผิดต่อหน้าท่านอันผิงจวิ้นจู่อีก”
กู้เสี่ยวหวานมาถึงประจวบเหมาะกับได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดูเหมือนว่าหลิวเสวี่ยอิ๋งผู้นี้จะฉลาด และนางส่งหลิวซืออี๋ออกไปอย่างรวดเร็ว
“อวี้ซู” กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าหลิวเสวี่ยอิ๋งได้ขอโทษตนแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ติดใจอะไร ถ้าหากตำหนิหลิวเสวี่ยอิ๋งอีกครั้ง ดูเหมือนว่าพวกตนสองคนจะไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย”
หลังจากพูดจบก็มองไปที่หลิวเสวี่ยอิ๋งที่กำลังมองอย่างอ้อนวอนและพูดเบา ๆ ว่า “เจ้ากลับไปเสียเถอะ”
หลังจากพูดจบก็จับมือของถานอวี้ซู เตรียมเดินกลับเข้าไปข้างใน แต่หลิวเสวี่ยอิ๋งกลับคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง
“จวิ้นจู่ เสวี่ยอิ๋งตามืดบอดจนมองไม่เห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของหลิวซืออี๋ หลังจากเสวี่ยอิ๋งกลับไปครั้งก่อน ข้าบอกท่านพ่อท่านแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น และท่านพ่อสั่งสอนหลิวซืออี๋และส่งนางออกไปเมืองหลวงทันที”
หลิวเสวี่ยอิ๋งก้มหน้าและอธิบายว่า “เสวี่ยอิ๋งรู้ว่าทำให้อันผิงจวิ้นจู่ขุ่นเคือง ดังนั้นจึงมาที่นี่เพื่อรับโทษ จวิ้นจู่จะลงโทษข้าเยี่ยงไรก็ได้ เสวี่ยอิ๋งน้อมรับทุกอย่างด้วยความเต็มใจ”
หลิวเสวี่ยอิ๋งเงยหน้าขึ้นมองกู้เสี่ยวหวานด้วยแววตาขอโทษ
ครั้งสุดท้ายที่หลิวซืออี๋ขอให้นางร่ายรำ หลิวเสวี่ยอิ๋งคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด นางร้องขอความเมตตาต่อลูกพี่ลูกน้องของนางตลอดเวลา และตอนนี้นางกลับมารับผิดแทนลูกพี่ลูกน้องตนเองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นการกระทำของหลิวซืออี๋และหลิวเสวี่ยอิ๋งแล้ว กู้เสี่ยวหวานไม่มีทางสรุปว่านางเป็นมิตรได้เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของนาง
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่หลิวเสวี่ยอิ๋ง ดวงตางดงามของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หน้าผากของนางเริ่มขึ้นสีเขียวช้ำจากแรงกระแทกเมื่อครู่นี้ ดังนั้นนางจึงส่งสายตาให้อาจั่วที่อยู่ด้านข้าง อาจั่วจึงรีบรุดขึ้นหน้าเพื่อประคองหลิวเสวี่ยอิ๋งลุกขึ้น
“เนื่องจากคุณหนูหลิวมาขอโทษอย่างจริงใจ ข้าจะยอมรับคำขอโทษนี้ไว้ ข้างนอกอากาศหนาวเย็น คุณหนูหลิวควรรีบกลับไป อาการบาดเจ็บที่หน้าผากควรได้รับการรักษาโดยเร็ว” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
เมื่อหลิวเสวี่ยอิ๋งได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางเต้นระรัว หญิงสาวโค้งคำนับและกล่าวอย่างขอบคุณ “เสวี่ยอิ๋ง ขอบคุณความเมตตาของจวิ้นจู่ เสวี่ยอิ๋งจะกลับไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ขอบคุณจวิ้นจู่ ขอบคุณจวิ้นจู่”
หลังจากพูดจบก็ขึ้นรถม้ากลับไปอย่างมีความสุข เมื่อเห็นสีหน้ามีความสุขและรอยยิ้มบนใบหน้าของนางยามมองมาที่ตัว ไม่มีท่าทางเสแสร้งสักนิด
“ท่านพี่ ท่านยกโทษให้นางอย่างนั้นหรือ”
ถานอวี้ซูพูดอย่างขุ่นเคือง และยังเอาแต่บ่นกู้เสี่ยวหวานไม่หยุด
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ทิศทางที่รถม้าจากไป “นางไม่ได้ขอให้ข้าร่ายรำ และข้าไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนาง ไม่สำคัญว่านางจะขอโทษด้วยความจริงใจหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ตามข้าจะไม่ติดต่อกับนางอีกทั้งตอนนี้และในอนาคต”
เกรงว่าหลิวเสวี่ยอิ๋งจะไม่อยากเจอตัวเองในอนาคต
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ถานอวี้ซูก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ แต่ยังคงคิดว่าหากตระกูลหลิวยังทำแบบนี้อีก นางจะไม่มีวันปล่อยไปง่าย ๆ
หลิวเสวี่ยอิ๋งนั่งอยู่บนรถม้า สีหน้ามีความสุขแต่หากเจือความหวาดกลัว มันเป็นความผิดพลาด แต่โชคดีที่นางมาพร้อมกับหลิวซืออี๋ในวันนั้น
สาวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างกำลังเช็ดเลือดบนหน้าผากผู้เป็นนาย และพูดอย่างเป็นทุกข์ “คุณหนู แผ่นหินนั้นทั้งแข็งและเย็น ท่านโขกหัวแรงเช่นนี้ ข้าน้อยเป็นทุกข์มาก
“ความเจ็บปวดนี้ช่างเล็กน้อยเมื่อแลกกับความขุ่นเคืองของอันผิงจวิ้นจู่ หากเรื่องราวบานปลายอาจจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่เดือดร้อน มันไม่ง่ายกว่าครอบครัวของเราจะมีความสุขเหมือนในวันนี้ เราจะปล่อยให้หลิวซืออี๋ทำลายมันไม่ได้” หลิวเสวี่ยอิ๋งกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“ทำไมคุณหนูถึงยังเก็บลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ไว้ ข้าเพียงมองแวบก็รับรู้ได้แล้วว่านางไม่ใช่คนดี” สาวรับใช้ด้านข้างพึมพำ “คุณหนู ท่านคงไม่เคยเห็น แต่ข้าเห็นมันตลอด สายตาของนางตอนมองอันผิงจวิ้นจู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา ดังนั้นนางจึงถอดเสื้อกันลมบุนวมออกโดยไม่ได้คิดอะไร”
“เฮ้อ เกรงว่านางคงเห็นว่าเสื้อบุนวมบุผ้าฝ้ายนั้นแตกต่างจากของอันผิงจวิ้นจู่” หลิวเสวี่ยอิ๋งถอนหายใจและพูดว่า “ข้าเคยคิดว่านางงดงาม และเป็นอัญมณีล้ำค่าของท่านอา แม้ว่าจะดื้อรั้นไปหน่อยก็ตาม”
ความอิจฉาริษยาเผยให้เห็นธาตุแท้ที่แท้จริงของคนคนหนึ่ง
บางทีนั่นอาจเป็นนิสัยของหลิวซืออี๋ นางเกิดมางดงามและบอกว่าตนเองเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในทงโจว เมื่อท่านอาของนางเห็นความงามของนาง คงไม่ต้องบอกว่าเขารักนางมากแค่ไหน หากนางต้องการดวงดาว เขาก็จะไม่นำพระจันทร์มาให้นาง
ตั้งแต่ยังเด็ก หลิวซืออี๋ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจ นางจึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ตอนแรกข้าคิดว่านางแค่ถูกตามใจจนเสียนิสัย ตอนนี้ดูเหมือนว่าจิตใจของนางไม่บริสุทธิ์
หากนางยังอยู่ที่บ้าน มันอาจนำหายนะมาสู่ตระกูลหลิว
สาวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างก็พูดด้วยความกลัว “ใช่ โชคดีที่คุณหนูเห็นธาตุแท้ของลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นคงทำให้อันผิงจวิ้นจู่ขุ่นเคืองใจ”
สาวรับใช้สูดหายใจเข้าลึก เมื่อนางพูดแบบนี้ “ท่าทางของฮู้กั๋วจวิ้นจู่ในตอนนั้นน่ากลัวจริง ๆ จะมีผู้หญิงคนใดที่มีท่าทีเช่นนี้”
หลิวเสวี่ยอิ๋งจ้องนางเขม็ง แต่ไม่ได้เอ่ยตำหนิ “เจ้าไม่ได้คิดถึงสถานะของนางด้วยซ้ำ ท่านปู่ของนางเป็นแม่ทัพ แม้ว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางจะจากไปตั้งแต่นางยังเด็ก แต่พวกเขาก็เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง นางคือสายเลือดของตระกูลถาน จะอ่อนแอได้อย่างไร”
สาวรับใช้พยักหน้าและรีบพูดว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว โชคดีที่ท่านจวิ้นจู่ยกโทษให้คุณหนูแล้ว”
……….