ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1735 ไม่ใช่โรคซ่อนเร้น นี่คือเรื่องน่ายินดี
บทที่ 1735 ไม่ใช่โรคซ่อนเร้น นี่คือเรื่องน่ายินดี
“ท่านหมอจี้อยู่ในเมืองหลวงมานานแล้ว ทำไมเขาไม่เปิดโรงหมอในเมืองหลวงล่ะ มันจะเป็นประโยชน์กับผู้คนในเมืองหลวงด้วย”
เมื่อซ่งฉินพูดถึงจุดที่เจ็บของเขา จี้ฉางก็ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าอมทุกข์ “ข้าก็อยากจะเปิดเหมือนกัน แต่ราคาในเมืองหลวงนี้สูงมาก และข้ารู้สึกละอายใจกับเงินในกระเป๋าของข้า ข้าวางแผนจะอยู่ที่นี่ต่ออีกวันหรือสองวันก่อนที่จะไปหาทางออกที่อื่น”
เขาอยู่ในเมืองหลวงมานานกว่าสองเดือนและไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ท้ายที่สุด ตอนนั้นเขาคุยโวในหมินซานว่าเขาจะต้องการสร้างโชคลาภในเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่กลับไป แต่เมื่อมาที่เมืองหลวงถึงรู้ว่าเงินที่เขาเก็บมาก็ลอยหายไป
แค่เช่าบ้านหลังเล็กที่ทรุดโทรมแบบนี้ก็ใช้เงินหลายตำลึงเงินต่อเดือนและยังต้องกินข้าว ถ้าต้องการกินอาหารที่ดีกว่านี้ก็ต้องใช้เงินอีกหลายตำลึงเงิน
ถ้าเขามีเงินมากมาย เขาคงไม่ต้องขายทุกอย่างในหมินซานและมาที่เมืองหลวงเพียงลำพัง มันช่างเป็นอะไรที่สิ้นหวัง
อย่างไรก็ตามเขาไม่มีพลังอำนาจหรือความสัมพันธ์ใด ๆ หลังจากมาถึงเมืองหลวงดวงตาของเขาก็มืดมน เดินเตร่ไปมาสองสามวัน จากนั้นจึงพบว่าตราบใดที่มันเป็นถนนที่ดีก็จะมีโรงหมอ นอกจากนี้โรงหมอของคนอื่นยังใหญ่กว่าที่เขาเปิดในหมินซาน
โรงหมอขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
จี้ฉางไปถามและในที่สุดเขาก็กลัวมากจนไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเปิดโรงหมอ
เพียงแค่เช่าร้านค้าบนถนนที่เงียบสงบก็ใช้เงินออมส่วนใหญ่ของเขาและเขายังต้องซื้อวัสดุยา ของตกแต่ง และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ เงินที่เขานำมานั้นยังไม่เพียงพอและยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ
จี้ฉางรู้สึกแย่ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะอยู่ดูสถานการณ์ก่อน แต่หลังจากดูมานานกว่าสองเดือน กินข้าว เช่าบ้าน และผูกมิตรกับคนในโรงหมอ เงินที่เขานำมานั้นถูกใช้ไปมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
เมื่อเห็นว่าถุงเงินของเขาเริ่มเบาลงและโรงหมอของเขาก็ยังไม่มีการเริ่มต้น จี้ฉางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ไม่ว่าเขาจะกังวลแค่ไหนก็ไม่มีอะไรที่เขาทำได้ เขาไม่รู้จักใครเลยในเมืองหลวง ดังนั้นจึงได้แต่กระวนกระวาย
เมื่อเห็นว่าเขาเห็นด้วย ซ่งฉินจึงพูดต่อ “ท่านหมอจี้ ท่านต้องการเปิดโรงหมอในเมืองหลวงใช่หรือไม่ คุณหนูของข้าช่วยท่านได้”
จี้ฉางตกตะลึงอีกครั้ง “ท่าน ท่านพูดอะไร ท่านจะช่วยข้าได้อย่างไร”
ซ่งฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านหมอจี้ คุณหนูของข้ามีความเมตตาและรู้สึกเชิดชูท่านหมอที่ช่วยชีวิตคน คุณหนูบอกว่าท่านหมอจี้ช่วยเหลือผู้คน แต่ก็น่าเสียดายที่ต้องเสียท่านหมอดี ๆ แบบนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ เพียงเพราะเขาไม่มีเงิน คุณหนูบอกว่าเพิ่งซื้อโรงหมอไว้และทุกอย่างในร้านก็พร้อมแล้ว”
จี้ฉางไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องที่ดีแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง และตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจ
ตราบเท่าที่เขาสามารถเปิดโรงหมอได้ ด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาจะสามารถแสดงความสามารถของตัวเองในเมืองหลวงได้อย่างแน่นอน
หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความดีใจ และไม่อาจซ่อนสีหน้าไว้ได้ มุมปากของเขากระตุกขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ดูถูกเหยียดหยามมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้
คนประเภทนี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน รับมือได้ง่ายกว่าพวกดื้อด้าน
“จริงหรือ” จี้ฉางไม่แน่ใจเล็กน้อย
“ท่านหมอจี้ ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ท่านสามารถดูสิ่งนี้ได้” ซ่งฉินยื่นสิ่งของในอ้อมแขนของนางให้ เขามองเพียงไม่กี่ครั้งและจากนั้นก็ตกตะลึง
นี่คือเอกสารการเป็นเจ้าของโรงหมอบนถนนกว่างอัน
“คุณหนูได้ซื้อโรงหมอนี้แล้ว และนางสามารถโอนให้ท่านหมอจี้ได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่กระดาษแผ่นนี้ถูกมอบให้กับท่านหมอจี้ โรงหมอนี้ก็จะเป็นของท่านหมอจี้และถูกเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว ท่านหมอจี้เพียงเลือกวันฤกษ์ดีก็จะสามารถเปิดโรงหมอเพื่อรักษาผู้คนได้” ซ่งฉินกล่าว
จี้ฉางตกตะลึงอีกครั้ง
เขาอยู่ในเมืองหลวงมาหลายเดือน ไม่ต้องพูดถึงการเปิดโรงหมอบนถนนกว่างอัน แม้แต่การเปิดโรงหมอในตรอกเล็ก ๆ นี้ก็ยาก แต่หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าหยิบเอกสารออกมาให้ดูและบอกว่าจะมอบให้ตัวเอง
ทันใดนั้นขนมอบขนาดใหญ่ก็ตกลงมาจากท้องฟ้า*[1] จี้ชางไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่เขาไม่สงสัยเลย เขาถือเอกสารไว้ในมืออย่างสั่นเทา “แม่นาง นี่…”
“เอกสารอยู่ในมือท่านหมอจี้แล้ว ท่านจะฟังสิ่งที่คุณหนูพูดได้หรือยัง?” เมื่อเห็นนางตอบ ซ่งฉินก็ยิ้มเช่นกัน
หลังจากที่จี้ฉางตื่นเต้น อย่างน้อยเขาก็ยังมีสมองอยู่บ้าง ขนมอบจะไม่ตกลงมาจากท้องฟ้าโดยไม่มีเหตุผล เขากุมมือแล้วพูดกับคนตรงหน้าว่า “ในอนาคต หากแม่นางและคุณหนูต้องการจี้ฉาง แค่พูดออกมา”
จี้ฉางมีความคาดหวังบางอย่าง เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะได้พบกับผู้หญิงที่สง่างามและหรูหราตรงหน้า เขาตื่นเต้นเล็กน้อยรอให้คุณหนูคนนั้นตอบเขา
ผู้หญิงในชุดสีเหลืองยังคงไม่พูด มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนกับหมวกและผ้าคลุมหน้า
ซ่งฉินกล่าวว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องขอความช่วยเหลือจากท่านหมอจี้”
จี้ฉางได้เปรียบอย่างมาก เขารีบแสดงความมุ่งมั่นและพูดว่า “คุณหนู โปรดบอกข้า ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะไม่ลังเล”
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเขา ซ่งฉินก็ยิ้ม “ท่านหมอจี้ ไม่ต้องกังวล ที่นี่ไม่ต้องบุกน้ำลุยไฟ ขอเพียงท่านรักษาในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้มา”
“โอ้ ไม่ทราบว่าข้าต้องไปรักษาใคร” จี้ฉางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย คนที่อยู่ข้างหน้าเขาสบายดี พวกนางดูไม่เหมือนคนป่วย
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าพวกนางจะป่วย แต่โรงหมอข้างนอกก็มีมากมาย ทำไมพวกนางถึงต้องซื้อโรงหมอมาให้เขา เพื่อซื้อตัว?
จี้ฉางรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย
“โปรดรักษาคุณหนูของข้า คุณหนูมีโรคซ่อนเร้น*[2] ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่คนนอกจะเข้าใจ” ซ่งฉินพูดพร้อมกับมองตรงไปที่จี้ฉาง ความหมายลึกซึ้งในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจของจี้ฉางเต้นไม่เป็นจังหวะ
จากนั้นเขาก็แอบมองหญิงสาวสวมหมวกโต่วลี่แล้วนึกในใจว่านางเป็นโรคผิวหนังอะไรหรือเปล่า นางสวมหมวกโต่วลี่และไม่ยอมให้ใครเห็น อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกคงจะเสียหาย
จี้ชางรู้สึกสงสารเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าคุณหนูตรงหน้าเขาเป็นโรคซ่อนเร้นอะไร และหลังจากที่เขาตรวจชีพจรด้วยมือของเขา เขาก็ตื่นตระหนกจนเข่าอ่อน
นี่ไม่ใช่โรคซ่อนเร้น นี่คือเรื่องน่ายินดี
[1] 天上掉馅饼 ขนมอบตกลงมาจากท้องฟ้า อุปมาว่า ได้สิ่งที่อยากได้โดยไม่ต้องออกแรง
[2] โรคที่ไม่กล้าบอกใคร