ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1746 ให้กำลังใจแม่ลูกสกุลเจี่ยง
บทที่ 1746 ให้กำลังใจแม่ลูกสกุลเจี่ยง
“เป็นเถ้าแก่กู้ที่มาหรือ ท่านนั่งลงก่อน ท่านรีบนั่งลงเร็ว” แม้ว่าดวงตาของหญิงชราจะมองไม่เห็น แต่ว่าเสื้อผ้าบนร่างกายล้วนถูกสวมใส่อย่างเรียบร้อยและหวีผมอย่างพิถีพิถัน จนดูเหมือนผู้ที่มีฐานะร่ำรวยในอดีต
“ในบ้านรกมาก ตาข้าก็มองไม่เห็นสุขภาพร่างกายก็ไม่ดี ในห้องนี้ก็ยังไม่ได้จัดเก็บ ยายเฒ่าตาบอดอย่างข้าทำอะไรไม่ได้เลย” แม่เจี่ยงทอดถอนใจด้วยสีหน้าหดหู่ เจี่ยงปู้หวนที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินก็รีบจับมือแม่เจี่ยงและปลอบใจเบา ๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านคอยอยู่กับข้าก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่ทำได้แล้ว”
แม่เจี่ยงได้ฟังสีหน้าที่หดหู่หม่นหมองเมื่อครู่นี้ก็เปลี่ยนไปสดใสมีสง่าราศี นางตบมือของเจี่ยงปู้หวนแล้วเม้มปากยิ้ม “ ก็ได้ก็ได้ก็ได้ เจ้านี่นะ ยังไม่รีบเชิญเถ้าแก่นั่งลงอีก”
เจี่ยงปู้หวนรีบพูดกับกู้เสี่ยวหวานว่า “เถ้าแก่ในนี้ไม่มีม้านั่ง ข้าจะไปย้ายม้านั่งข้างนอกมาสองสามตัว ท่านรอสักครู่”
กู้เสี่ยวหวานเห็นเขาทำอย่างเร่งรีบ จึงรีบพูดว่า “เจ้าไม่ต้องรีบ แสงแดดข้างนอกกำลังพอดีที่จะตากแดดและก็ยังทำให้ท่านผู้เฒ่าอบอุ่นด้วย เจ้าอยากออกไปตากแดดด้วยกันหรือไม่”
พูดจบก็เข้าไปประคองแม่เจี่ยงและถามอย่างสนิทสนม
แม่เจี่ยงคว้ามือของกู้เสี่ยวหวานไว้ทันที แล้วตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ไป ไป แดดข้างนอกกำลังพอดี พวกเราออกไปคุยกันเถอะ”
หลังจากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็ประคองแม่เจี่ยงออกไป เจี่ยงปู้หวนมองกู้เสี่ยวหวานกำลังประคองแม่เจี่ยงออกไปอยู่ด้านหลัง ท่าทางที่สนิทสนมนั้นและยังมีเสียงหัวเราะที่สบายอกสบายใจของแม่เจี่ยง เจี่ยงปู้หวนเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ร่างกายที่อ่อนแอเขามาถึงจุดสุดท้ายแล้ว ได้แค่จ้องมองเถ้าแก่ในชุดสีม่วงเข้มนั้นประคองแม่เจี่ยงออกไปอย่างตกตะลึง
“ปู้หวน” สวี่ซื่อออกมาด้านนอกแล้วไม่ได้ยินเสียงของลูกชาย แม่เจี่ยงจึงตะโกนเสียงดังอีกรอบ
เจี่ยงปู้หวนได้ยินก็รู้สึกตัวตื่นจากความตกตะลึงทันที รีบตอบว่า “อ่า ท่านแม่”
“เร็วเข้า ไปรินชาให้เถ้าแก่สิ” แม่เจี่ยงได้ยินลูกชายเงียบกริบ เมื่อรู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นคนดื้อรั้น จึงรีบเร่งว่า “เถ้าแก่มาถึงบ้านพวกเรา แม้แต่น้ำลายเจ้าก็ไม่ให้เขากลืนเลย”
“อ่าอ่าอ่า ข้ากำลังไป” เจี่ยงปู้หวนรีบวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อเทน้ำ
กู้เสี่ยวหวานเห็นเข้าจึงขัดว่า “ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องแล้ว พวกข้านั่งประเดี๋ยวก็ไป”
แม่เจี่ยงโมโหว่า “จะได้อย่างไรกัน พวกเจ้ามาที่บ้านข้าครั้งแรก ไม่ได้ดื่มน้ำชาจะไปได้อย่างไรกัน จะต้องดื่ม จะต้องดื่ม”
กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถหลบเลี่ยงได้จึงส่งสายตาให้อาจั่ว อาจั่วจึงตามไปช่วยเหลือที่ห้องครัว
ไม่นานเจี่ยงปู้หวนก็ถือชามาหนึ่งถ้วยชาม ยื่นส่งให้ตรงหน้ากู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ “เถ้าแก่ ในบ้านข้าไม่มีถ้วยชา มีเพียงแต่ถ้วยชาม ท่าน…”
กู้เสี่ยวหวานไม่รอให้เจี่ยงปู้หวนพูดจบ ก็เอื้อมมือรับมาและดื่มเข้าไปอึกใหญ่ชิดติดขอบชาม ใบชาในนี้เป็นเพียงแค่ฟองของใบชาเท่านั้น แม้ว่าจะดูซอมซ่อแต่อาจจะเป็นการต้อนรับอย่างดีที่สุดสำหรับครอบครัวนี้แล้ว
แต่ว่าสายตากลับเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานเป็นระยะและก็รีบละสายตาออกไปทันที
กู้เสี่ยวหวานจับมือของแม่เจี่ยงและพูดคุยกับนางอย่างสนิทสนม จึงไม่เห็นสายตาเจี่ยงปู้หวนจ้องมองมาที่ตัวเอง
แม่เจี่ยงได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานมาปลอบขวัญตัวเองก็ตกใจ “เถ้าแก่ ท่านบอกว่าท่านยุ่งมาก ท่านมีเวลามาได้อย่างไรกัน พวกข้า พวกข้าไม่ต้องการ”
กู้เสี่ยวหวานหยิบซองสีแดงใบหนึ่งจากมือของอาโม่ ยัดเข้าไปในมือของแม่เจี่ยงแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ลูกชายของท่านทำงานอยู่ที่ร้านหล่านเยว่อย่างขยันขันแข็ง มีความรอบคอบรับผิดชอบมาก มีลูกน้องที่ดีเช่นเขาอยู่ เรื่องในร้านหล่านเยว่ข้าก็วางใจมาก ต่อไปร้านหล่านเยว่ต้องพึ่งพาเขามากขึ้นแล้ว”
พอได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานบอกว่าลูกชายของตัวเองนั้นดี ใบหน้าแม่เจี่ยงก็ยิ้มแย้ม “ปู้หวนเป็นเด็กดี เด็กคนนี้เป็นเด็กดี แต่ว่า”
รอยยิ้มที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่นี้ก็เปลี่ยนเป็นหดหู่ขึ้นมาทันที “ต้องโทษที่ร่างกายข้าใช้การไม่ได้ เป็นภาระให้เขาแล้ว หากไม่ใช่เพราะบิดาเขาจากไปเร็ว อีกทั้งสุขภาพร่างกายของข้าก็ไม่ดี เฮ้อ”
เจี่ยงปู้หวนฟังก็ขมวดคิ้วว่า “ท่านแม่ ข้าไม่อนุญาตให้ท่านพูดเช่นนี้ ขอแค่ท่านสบายดี ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยินดีทั้งนั้น”
กู้เสี่ยวหวานฟังจบก็ตบมือของแม่เจี่ยงปลอบใจว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านสบายใจได้ มีเด็กที่ขยันกตัญญูอย่างปู้หวนเช่นนี้ วันที่ยากลำบากผ่านพ้น ต่อไปจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆอย่างแน่นอน ”
แต่ว่าอย่างไรเสียความสงสารก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว ตราบใดที่คนยังมุ่งแสวงหาความก้าวหน้า เมื่อผ่านวันที่ยากลำบากไปแล้ว วันที่ดีก็จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
พวกเขาพูดคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่งและมอบของปลอบใจแล้วให้แม่เจี่ยงและเจี่ยงปู้หวน กู้เสี่ยวหวานและพวกเขาก็ต้องการจะจากไป กู้เสี่ยวหวานพูดชักแม่น้ำทั้งห้า บอกว่ายังต้องไปเยี่ยมคนงานต่ออีกคนหนึ่ง แม่เจี่ยงจึงถึงจะยอม แต่ว่ากลับจับมือของกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ไม่ปล่อย “เถ้าแก่ ครั้งหน้าถ้ามา ท่านจะต้องกินข้าวที่บ้านข้าก่อนถึงค่อยไป แม้ว่าบ้านข้าจะเป็นอาหารง่ายๆ แต่ว่าพวกข้าก็ได้แต่ตอบแทนน้ำใจของท่านเช่นนี้เท่านั้น”
กู้เสี่ยวหวานรับปาก “ได้เลย ท่านผู้เฒ่า ถ้าหากคราวหน้ามาอีก ข้าจะต้องมารบกวนท่านแน่นอน”
หลังจากแยกจากแม่เจี่ยงแล้ว เจี่ยงปู้หวนส่งกู้เสี่ยวหวานออกจากประตู เมื่อมาถึงด้านนอกประตู กู้เสี่ยวหวานไม่ทันได้ตั้งตัวก็เห็นเจี่ยงปู้หวนคุกเข่าดังตุ้บอยู่ตรงหน้าของกู้เสี่ยวหวาน ก้มหัวพูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณเถ้าแก่มาก ขอบคุณเถ้าแก่มาก”
ตั้งแต่ที่บิดาจากไปมารดาก็ป่วยหนัก ฐานะทางบ้านก็ตกต่ำ เจี่ยงปู้หวนอ่านแต่ตำราบัณฑิตมาตลอด จึงเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าความยากลำบากของชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และความรู้สึกเหลือที่จะทนได้ยามที่ตกลงจากที่สูงสู่ฝุ่นผง
พอสภาพครอบครัวย่ำแย่ลง ตอนแรกยังมีเพื่อนบางคนที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าน้อยมาก จนนับนิ้วได้ หลังจากยืมเงินมาแค่ครั้งสองครั้ง อย่าว่าแต่เพื่อนฝูงเลย แม้แต่ญาติคนสนิทก็ไม่มีสีหน้าที่ดีให้อีกแล้ว
เขากับมารดาขายทรัพย์สมบัติย้ายมาอยู่ที่นี่นานมากแล้ว แต่ว่ากลับคาดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่มาถึงบ้านจะเป็นเถ้าแก่ของเขา
หากบอกว่าในใจของเจี่ยงปู้หวนนั้นไม่รู้สึกซาบซึ้ง นั่นก็คงโกหกแล้ว ในใจของเขารู้สึกซาบซึ้งใจมากเหลือเกิน
บางทีหลังจากได้ผ่านความหนาวและความอบอุ่นของผู้คนแล้วเท่านั้น จึงจะรู้ซึ้งว่าน้ำใจไมตรีเป็นสิ่งล้ำค่าที่ยากจะได้มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นนี้ สามารถยอมลดเกียรติลงมาเยี่ยมเยือนได้ นั่นยากเสียยิ่งกว่าปีนขึ้นไปบนสวรรค์
ยามมองเสื้อผ้าที่กู้เสี่ยวหวานใส่ในวันนี้ ในใจเจี่ยงปู้หวนจะไม่รู้ความหมายของนางได้อย่างไร
ผู้ที่ดูแลใส่ใจทุกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ทำให้คนมีความคิดที่อยากจะติดตามด้วยความซื่อสัตย์ภักดี
กู้เสี่ยวหวานจะก้าวเข้าไปประคองเขา แต่ว่าเขาคุกเข่าก้มหน้าก้มตาอย่างดื้อรั้น “ปู้หวนจะขยันตั้งใจทำงาน จะไม่ทำให้เถ้าแก่ผิดหวังอย่างแน่นอน”
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจไมตรี จึงก้าวเข้าไปประคองเขาขึ้นเองและพูดว่า “ความยากลำบากเป็นเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ขอเพียงเจ้าอยากหลุดพ้นจากความยากลำบาก พอวันที่ยากลำบากได้ผ่านพ้นไปแล้ว ถึงเวลานั้นในที่สุดก็จะเป็นฟ้าหลังฝน เป็นวันที่ดวงอาทิตย์สว่างไสว”
เจี่ยงปู้หวนยื่นมือเช็ดใบหน้าอย่างแรง น้ำเสียงดูเหมือนจะเจือสะอื้นเล็กน้อย แต่ทว่ากลับพูดอย่างเฉียบขาดว่า “เถ้าแก่ ขอบพระคุณท่านมาก ข้าจะพยายาม ข้าจะทำงานให้ดีและดูแลท่านแม่ให้ดีแน่นอน”
“อืม ถ้าหากยังมีความฝันอยู่ก็รอให้ทุกอย่างมั่นคงแล้ว ค่อยกลับไปไล่ตามความฝันของเจ้า นั่นจะเป็นการเดินทางที่งดงามและเจ็บปวดมากอย่างยิ่ง แต่ว่าชีวิตคนเรานั้นสั้น หากไม่ไล่ตามความฝันของตัวเอง รอเมื่อแก่แล้วก็จะต้องทอดถอนใจอย่างแน่นอน” กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่อาจารย์ที่คอยให้คำตักเตือนชี้แนะ แต่เมื่อเห็นสภาพครอบครัวของเจี่ยงปู้หวน กู้เสี่ยวหวานจึงตัดสินใจว่าจะต้องพูดอีกสองประโยค
ทั้งขรุขระและยังอีกยาวไกล ก็ต้องดูว่าเขาจะสามารถเดินผ่านมันไปได้หรือไม่แล้ว
คำพูดที่จริงใจของกู้เสี่ยวหวานในวันนี้ เดิมทีเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาจึงพูดเตือนออกไปเช่นนั้น ทว่าเจี่ยงปู้หวนกลับเก็บคำพูดของนางจดจำไว้ในใจตลอด จนกระทั่งหลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกไปเดินตามความฝันของตัวเองจริง ๆ แม้ว่าเส้นทางการไล่ตามความฝันนั้นจะขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่ในที่สุดเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปทีละขั้น
หลังจากแยกจากเจี่ยงปู้หวนแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็นั่งรถม้าไปเยี่ยมกู๋ไห่
กู๋ไห่ได้ทิ้งที่อยู่ไว้แล้ว โค่วไห่ขับรถม้าไปตามที่อยู่ที่กู๋ไห่ได้สมัครทิ้งไว้ตอนนั้น ระหว่างทางอาจั่วนึกถึงกระจกในบ้านของเจี่ยงปู้หวน ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างควบคุมไม่ได้
“คุณหนู คุณชายเจี่ยงผู้นี้เป็นคนที่กตัญญูรู้คุณ” อาจั่วสะอึกสะอื้อพูด ในคำพูดราวกับมีความหมายบางอย่างที่ไม่ชัดเจน
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นคนที่กตัญญู แม้ว่าตอนนี้คนคนนี้จะยากจน แต่ข้าเชื่อว่าไม่มีทางจะยากจนไปตลอดแน่”
คนที่กตัญญูรู้คุณทั้งขยันตั้งใจทำงาน ในวันข้างหน้าจะต้องได้ลืมตาหน้าอ้าปาก
อาจั่วเองก็พยักหน้า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวในน้ำเสียงนั้น ดูเหมือนจะหายวับไปตามคำพูดของนาง
กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปที่อาจั่วที่ตอนนี้เป็นปกติแล้ว หัวใจก็สั่นไหวเล็กน้อย
บ้านของกู๋ไห่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ห่างกันเพียงแค่สามถนนก็ถึงแล้ว อยู่ในซอยเล็กๆเช่นกัน
………………..