ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1747 กู๋ไห่โกหกแล้ว
บทที่ 1747 กู๋ไห่โกหกแล้ว
อาโม่นำหน้าลงไปถามทางก่อน ผ่านไปสักพักก็กลับมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “คุณหนูไปถามมาแล้ว บ้านของกู๋ไห่อยู่ที่นี่”
กู้เสี่ยวหวานส่งเสียงอืม เพิ่งเดินออกมาอาโม่ก็พูดอีกว่า “คุณหนู บ้านของมารดากู๋ไห่เองก็อยู่ที่นี่ด้วย”
พูดจบก็ชี้นิ้ว กู้เสี่ยวหวานมองตามไปก็เห็นฮูหยินห้าหกคนอาบแดดล้อมรอบอยู่ในตรอก คนหนึ่งย้ายเก้าอี้มานั่งตรงนั้นกำลังพูดคุยส่งเสียงดัง
ในนั้นมีฮูหยินคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบปี รูปร่างอ้วนเล็กน้อยสวมเสื้อกันหนาวหนาตัวใหญ่ ดูเต็มไปด้วยกำลังวังชา เสียงแหลมจนได้ยินเสียงของนางทั่วทั้งซอย
“ผู้ที่เสียงดังนั้นก็คือมารดาของพ่อบ้านกู๋” อาโม่กล่าว
ไม่ใช่กู๋ไห่บอกว่ามารดาของเขานอนซมป่วยจนลุกขึ้นไม่ไหวหรอกหรือ กู้เสี่ยวหวานยังให้วันหยุดยาวแก่เขาเพื่อให้กลับมาดูแลมารดาโดยเฉพาะ
แต่ว่ามองดูสีหน้าที่แดงเปล่งปลั่งของมารดาเขา ไม่เหมือนคนที่ป่วยหรือว่าเคยป่วยมาก่อนเลย
นี่เวลาเพิ่งจะแค่วันสองวันที่กู๋ไห่ไปจากร้านหล่านเยว่เมื่อคราวก่อน ฮูหยินผู้นี้หายป่วยเร็วกว่าบุรุษที่ร่างกายแข็งแรงกำยำเสียอีก
อาจั่วก็ขมวดคิ้วถาม “คุณหนู มารดาของพ่อบ้านกู๋ดูแล้วเหมือนไม่เคยป่วยเลย”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “อาโม่ เจ้าลองไปดูหน่อย”
อาโม่หิ้วของเข้าไปในตรอกอีกรอบ คราวนี้พอเห็นว่ามีคนมาแล้วในมือยังหิ้วข้าวของมาด้วย ผู้ที่ถูกถามทางเมื่อครู่นั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “มารดากู๋ไห่ มีคนมาเยี่ยมหาเจ้า”
เสียงแหลมที่ตะโกนตอบนั้นหยุดลงและตะโกนเสียงดังว่า “ใครกัน ใครมาเยี่ยมข้า”
พอมองไปทางปากตรอกก็เห็นว่ามีคนหิ้วของหอบของมามากมาย สีหน้าก็มีความสุขขึ้นมาทันที
และก็ไม่สนใจพูดคุยต่ออีก วิ่งเข้าไปหาอาโม่ตรงหน้าและถามอย่างประจบว่า “เจ้ามาหาข้ารึ”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้มา อาโม่จึงหิ้วของพลางยิ้มตอบว่า “ใช่แล้วท่านแม่กู๋ สวัสดี ข้าเป็นองครักษ์ของเถ้าแก่ร้านหล่านเยว่ เจ้านายข้าให้ข้ามาเยี่ยมท่านและถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ท่านด้วย”
ท่านแม่กู๋กวาดสายมองของในมือที่อาโม่หิ้วมาขึ้น ๆ ลง ๆ สีหน้าก็สดใสขึ้นมาทันที เดินเข้าไปแตะร่างกาย “อ่าอ่าอ่า ไปไปไป กลับบ้านค่อยพูด กลับบ้านค่อยพูด”
จากนั้นก็นำทางอาโม่กลับบ้าน ชาวบ้านรอบข้างมากมายที่กำลังคอยเฝ้าดูความคึกคัก ต่างก็รวมตัวกันโอบล้อมตามเข้าไป
อาจั่วเห็นแล้วจึงถามอย่างสงสัยว่า “คุณหนู ไม่ใช่ว่าพ่อบ้านกู๋นั้นบอกว่ามารดาเขาป่วยหนักอยู่บนเตียงหรือ มองดูท่าทางของท่านแม่กู๋นี่ไม่เหมือนคนที่เคยป่วยหนักเลย”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า กู๋ไห่จะต้องมีเรื่องอะไรปิดบังพวกนางแน่ เช่นนั้นก็ต้องคอยดูว่าท่านแม่กู๋จะพูดอะไรแล้ว
ใบหน้าท่านแม่กู๋เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นพาอาโม่เข้าไปในเรือน และยังมีชาวบ้านที่ต้องการเข้าไปมุงดูด้วย ท่านแม่กู๋เองก็ไม่ได้ห้ามไว้ ปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้าไปพร้อมกัน
หลังจากฟังอาโม่แนะนำตัวเองแล้ว จากนั้นจึงเอาของที่มาเยี่ยมในมือรวมทั้งซองสีแดงมอบให้แก่ท่านแม่กู๋
ชาวบ้านรอบข้างเห็นต่างก็พากันสูดลมหายเข้า “ว้าว ของตั้งเยอะแยะมากมาย มากกว่าของที่ลูกชายข้าหิ้วมาเยี่ยมข้าในวันปีใหม่เสียอีก”
“เหอะ” ท่านแม่กู๋ได้ยินทุกคนชื่นชมตัวเอง ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งลึกขึ้นเรื่อย ๆ “เจ้าเองก็ไม่ดู คนอื่นเขาเป็นตัวแทนเถ้าแก่ของร้านหล่านเยว่ ลูกชายของเจ้าเป็นผู้ดูแลรึ”
ทุกคนได้ยินก็หัวเราะเสียงดังและก็มีคนไปจิ้มกระดูกสันหลังของผู้พูดคนนั้นว่า “อย่าพูดถึงว่าเป็นผู้ดูแลเลย ลูกชายของนางแม้แต่ดูแลคุมงานยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าเปรียบเทียบกับกู๋ไห่ได้เสียที่ไหนกัน เขาเป็นพ่อบ้านของร้านหล่านเยว่ ร้านหล่านเยว่นั้นเป็นสถานที่เช่นไร ตุ๊กตาตัวหนึ่งมีค่ากว่าพันตำลึง ทั้งชีวิตของพวกเรายังหาเงินไม่ได้มากขนาดนั้นเลย กู๋ไห่เป็นพ่อบ้านอยู่ในสถานที่เช่นนั้น เขาปล่อยเงินรั่วไหลออกมาจากนิ้วมือแค่เล็กน้อยก็มากกว่าลูกชายเจ้าตั้งเท่าไหร่แล้ว”
ท่านแม่กู๋เหมือนว่าจะเพลิดเพลินกับการสรรเสริญเยินยอของพวกเพื่อนบ้านรอบ ๆ มาก รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดได้
อาโม่เห็นว่าคนเยอะ สิ่งที่ตัวเองอยากถามจึงเอ่ยถามออกมาราวกับไม่ตั้งใจว่า “อย่างไรกัน วันนี้พ่อบ้านกู๋ไม่อยู่หรือ”
ท่านแม่กู๋ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดก็มีคนเอ่ยปากตะโกนว่า “ตอนนี้เขาเป็นพ่อบ้านของร้านหล่านเยว่แล้ว วันหยุดพักผ่อนเช่นนี้ทำไมยังต้องกินอาหารที่บ้านอีก มีคนชวนเขาออกไปดี่มเหล้าข้างนอกตั้งนานแล้ว”
ทุกคนพยักหน้าตอบว่า “ใช่ ใช่ ตอนเช้าข้ายังเห็นว่ามีรถม้าคันใหญ่มารับเขา ไม่รู้ว่าเป็นคนร่ำรวยคนใดที่มาหากู๋ไห่แล้ว”
ท่านแม่กู๋ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ดีทันที เหลือบมองอาโม่ด้วยความระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าใบหน้าเขายังมีรอยยิ้มประจบอยู่ตลอดก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีกและอธิบายให้อาโม่ว่า “เมื่อก่อนกู๋ไห่มีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือคนหนึ่ง ตอนนี้รุ่งเรืองก้าวหน้าแล้ว บอกว่ายังคิดถึงมิตรภาพเก่า จึงมาหากู๋ไห่และชวนออกไปดื่มด้วยกันสักจอก หากว่าเจ้ามาหาเขา ข้าก็จะไปตามหาเขาตอนนี้”
อาโม่เห็นเช่นนี้จึงรีบโบกมือบอกว่า “ท่านแม่กู๋ ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแล้ว ข้ามาคราวนี้ก็เพื่อมาเยี่ยมเยือนท่านแทนเถ้าแก่ข้า เขาไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าก็เอาของให้แล้ว ท่านยุ่งอยู่ก็ขอตัวลาก่อน”
กู๋มู่แสร้งทำเป็นรั้งไว้สองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าอาโม่ยืนกรานที่จะไป จึงไม่ห้ามอีกและปล่อยให้อาโม่ไป
อาโม่เดินไปไกลแล้วก็ยังได้ยินเสียงที่พูดถึงตระกูลกู๋ดังมาจากด้านหลัง
“ครั้งนี้ตระกูลกู๋น่าทึ่งมาก พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่ารถม้าคันใหญ่ที่มาเมื่อเช้านี้ เสาด้านบนยังเลี่ยมด้วยทอง บนผ้าม่านนั้นยังปักด้วยไหมทองอีกด้วย”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่ว่าคราวนี้กู๋ไห่โชคดีใหญ่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าจะซื้อตุ๊กตาในร้านหล่านเยว่นั้น แค่มีเงินเท่านั้นก็ยังซื้อไม่ได้จะต้องมีช่องทางอื่น ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ไม่เคยสนใจดูแลจัดการเลย เรื่องของในร้านหล่านเยว่นั้นล้วนเป็นกู๋ไห่ที่ดูแล ผู้ใดต้องการซื้อตุ๊กตา ผู้ใดอยากได้รับก่อน ได้ยินว่า…”
คนผู้นั้นมองไปรอบ ๆ พอเห็นว่าเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ พากันล้อมรอบตระกูลกู๋และกำลังเยินยอประจบประแจงท่านแม่กู๋ จึงรีบลดเสียงลงแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินคนพูดว่า ผู้ใดไปซื้อตุ๊กตาก็ต้องให้ค่าผลประโยชน์ก้อนหนึ่งกับกู๋ไห่เสียก่อน ผู้ใดจ่ายให้เยอะก็จะให้ตุ๊กตาแก่ผู้นั้นไปก่อน”
“เป็นเรื่องจริงรึ” มีคนที่ไม่เชื่อถาม
“จริงแท้แน่นอน ข้ามีลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงคนหนึ่งเป็นสาวใช้ของคุณหนูตระกูลร่ำรวย นางติดตามคุณหนูไปซื้อตุ๊กตา เห็นมากับตาตัวเองจะเป็นเรื่องโกหกได้อย่างไรกัน บอกว่ากฏนี้เป็นกฏที่ไม่ได้เขียนระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในเมืองหลวงอยู่แล้ว”
คนผู้นั้นพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง หลังจากที่ทั้งสองพูดจบก็เห็นคนที่บ้านท่านแม่กู๋ค่อย ๆ ทยอยพากันออกมา จึงรีบหยุดเรื่องที่พูดคุยกันไว้และคิดว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าการได้ยินของอาโม่นั้นดีมาก แม้ว่าจะอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่ว่าคำพูดของพวกเขาก็ยังคงเข้าหูของอาโม่อย่างไม่มีตกหล่น
อาโม่หันไปก็เห็นว่าทั้งสองคนเห็นคนมา จึงรีบหยุดหัวข้อที่สนทนาและตรงไปยังที่ที่มีคนเยอะ ๆ ปากก็ยังพูดคำพูดเยินยออย่างไม่หยุดราวกับว่าคำพูดที่ใส่ร้ายกู๋ไห่เมื่อครู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพูด
อาโม่หมุนตัวออกจากซอยอย่างเงียบเชียบแล้วเดินไปจนถึงรถม้าที่ซ่อนอยู่ตรงหัวมุม “คุณหนู ข้ากลับมาแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานส่งเสียงรับคำแล้วไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่พูดว่า “ไปกันเถอะ”
โค่วไห่อยู่ด้านข้างเห็นว่าอาโม่ผิดปกติ จึงหันหน้าไปมองเขาก็เห็นว่าใบหน้าของเขานั้นมืดครึ้ม คิดดูแล้วข่าวที่ได้รับจากตระกูลกู๋เมื่อครู่นี้คงจะไม่ดีนัก
โคว่ไห่ขับรถม้าตรงกลับไปที่สวนชิง อาโม่ต้องการรายงานเรื่องที่เขาเพิ่งจะได้ยินมาเมื่อครู่นี้กับกู้เสี่ยวหวาน แต่ว่าพอเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของหญิงสาว คิดดูแล้วอาจเป็นเพราะเหนื่อยจากการออกไปข้างนอก จึงยากที่จะพูด พอกลับมาถึงเรือนของตัวเองแล้วจึงนำเรื่องที่ตัวเองได้ยินมาพูดกับอาจั่ว
อาจั่วเงยหน้าขึ้นเหลือบมองเขา ทันใดนั้นก็พูดว่า “มิน่าเล่า”
“มิน่าเล่าอะไร” อาโม่ถามกลับอย่างสงสัย
“วันนี้ตอนที่อยู่บ้านของเจี่ยงปู้หวน ข้าไปเป็นเพื่อนเขาเทน้ำในห้องครัว เขาถามคำถามหนึ่งกับข้า” อาจั่วขมวดคิ้วพูด ตอนนั้นนางคิดว่าเจี่ยงปู้หวนกำลังขอคำชี้แนะเรื่องของร้านหล่านเยว่ จนถึงตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าที่แท้ตอนนั้นเจี่ยงปู้หวนกำลังบอกเป็นนัย ๆ ว่ากู๋ไห่มีปัญหาแล้ว
“เขาถามอะไรเจ้า”
“เขาถามข้าว่าตุ๊กตาของร้านหล่านเยว่ผู้ใดจองก่อนผู้นั้นก็จะได้รับก่อนใช่หรือไม่” อาจั่วขมวดคิ้วพูด “ตอนนั้นข้าก็ตอบเขาไปว่าย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ทำกิจการค้าขายด้วยความซื่อสัตย์ รับเงินของผู้ใดก่อนก็ต้องให้ตุ๊กตาแก่คนผู้นั้นก่อน นั่นเป็นข้อตกลงที่ซื่อสัตย์”
“หลังจากนั้นเขาพูดอะไรกับเจ้าอีก” อาโม่ถามต่อ
อาจั่วส่ายหัว “เขาไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นข้าก็ถือน้ำชาออกมา ต่อมาเขาก็ไม่ได้ถามอะไรข้าอีก”
“ดูเหมือนว่าเจี่ยงปู้หวนคงจะพบอะไรเข้าแล้ว” อาโม่พูดสรุป “มิฉะนั้นก็คงจะไม่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา”