ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1749 ทำลายผ้าฝ้าย
บทที่ 1749 ทำลายผ้าฝ้าย
คราวนี้ลิ่วชวงได้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ก็เห็นว่าหญิงสาวผู้นี้อายุประมาณสิบสองสิบสามปี แม้ว่าจะอายุน้อยแต่ว่าน้ำเสียงกลับนุ่มนวลเหมือนกับลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านรดหัวใจอย่างช้า ๆ ทำให้รู้สึกสบายใจ
เมื่อมองไปที่หน้าตาของสาวน้อยผู้นี้ ใบหน้าเล็ก ๆ รูปไข่ห่าน คิ้วโก่งเหมือนใบหลิว ดวงตาที่สดใส ยังมีดั้งจมูกและริมฝีปากที่แดงก่ำ รูปร่างที่เพรียวบางนั้นพอมองแล้วก็ทำให้คนละสายตาไม่ได้ สาวน้อยผู้นี้ยังเด็กอยู่ ถ้าหากในอนาคตเติบโตขึ้น ไม่รู้ว่าเติบโตขึ้นหน้าตาจะเป็นอย่างไร
ลิ่วชวงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ว่าไม่อาจตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ ใกล้จะปีใหม่แล้วผู้คนในเมืองหลวงจึงยิ่งมากขึ้น รวมไปถึงนักต้มตุ๋นและหัวขโมยที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่แน่ว่าเด็กสาวที่งดงามอายุน้อยผู้นี้เห็นว่าในร้านมีตนเองเพียงแค่คนเดียวจึงฉวยโอกาสปล้นเสียเลย
ตัวนางอย่าได้ตกหลุมพลางเด็ดขาด
ดังนั้นลิ่วชวงจึงส่งใบรายการกลับไปด้วยความลำบากใจเล็กน้อย โค่วตันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง กู้เสี่ยวอี้เห็นว่าในร้านไม่มีผู้อื่นจริง ๆ จึงได้แต่พูดว่า “พวกเรากลับไปกันเถอะ”
ทั้งสองเข้าไปในรถม้า เพิ่งออกจากประตูร้านขายผ้า ฉางเชิงก็มาพอดีและมองรถม้าที่กำลังจากไป
เมื่อเข้าไปในร้านขายผ้าก็เห็นลิ่วชวงกำลังดีดลูกคิด ในร้านไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว จึงถามว่า “ลูกค้าเมื่อครู่นี้ซื้ออะไรหรือ เจ้าถึงได้ดีดลูกคิดเสียงดังขนาดนี้”
“นักต้มตุ๋น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นเขาเป็นนักต้มตุ๋น บนใบหน้าเขาเขียนคำว่าต้มตุ๋นสองคำนี้ไว้รึ” ฉางเชิงเห็นว่าลิ่วชวงตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “ข้าเห็นว่าคนขับรถม้านั้นยังเป็นหญิงสาว เจ้าบอกว่าคุณหนูผู้อื่นเป็นนักต้นตุ๋นได้อย่างไรกัน”
“อ่าว พี่ฉางเชิง ท่านไม่รู้หรอกว่าคุณหนูสองคนที่มาคราวนี้ พอเข้าประตูมาก็ยัดกระดาษแผ่นหนึ่งให้ข้า บอกว่าให้จัดตามของที่อยู่ในใบรายการ ข้าดูก็เห็นว่าของที่อยู่ข้างในนั้นร้านขายผ้าหลานชิงไม่มี จะให้ข้าไปหาที่ไหนเล่า ที่นี่ไม่มีข้าก็ได้แต่ต้องไปเอาที่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว ถ้าหากว่าข้าไปแล้ว ร้านนี้ก็จะเหลือคนนอกสองคน ถ้าหากร้านขายผ้าหลานชิงของหายเกลี้ยง ข้าก็ไม่รู้ด้วยแล้วนะ”
ลิ่วชวงอธิบายว่า “อีกอย่างท่านไม่รู้หรอกว่าคุณหนูเมื่อครู่นี้นั้นมองผ้าพับที่แพงที่สุดหลังตู้กระจกไปมา สายตานี่มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าตรงไหนเป็นวัสดุที่ดี จะต้องเป็นหัวขโมยมานานแล้วแน่นอน”
ฉางเชิงได้ฟังก็หัวเราะพรืด “ไม่แน่ว่าคุณหนูผู้นั้นอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ได้ แต่กลับถูกเจ้าพูดจนกลายเป็นผู้กระทำผิดแล้ว”
ทันทีที่พูดจบฉางเชิงก็เหมือนนึกอะไรได้ ถามทันว่า “เจ้าเห็นว่าคุณหนูน้อยผู้นั้นอายุเท่าไหร่”
“คุณหนูท่านนั้นดูแล้วอายุสิบสองสิบสามปี หน้าตาดีน้ำเสียงก็ไพเราะ ไม่รู้ว่าอายุน้อยขนาดนี้ทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ลิ่วชวงพูดอย่างงงงัน คำพูดของเขายังพูดไม่ทันจบบนหัวก็เจ็บแปล๊บ เขารีบเอามือปิดหัวแล้วร้องโอ๊ยออกมา
ก็เห็นฉางเชิงชี้นิ้วมาที่เขา พูดอย่างผิดหวังว่า “เจ้า เจ้า เจ้าเกือบจะทำลายเรื่องที่ดีของคุณชายแล้ว”
“เรื่องที่ดีอะไรกัน” ลิ่วชวงได้ฟังจึงคิดจะไล่ถามต่อ แต่ว่าตรงหน้ายังมีคนอยู่เสียที่ไหน ฉางเชิงนั้นวิ่งออกไปจนไม่เห็นแม้แต่เงานานแล้ว
ไม่นานก็เห็นเขาลุกขึ้นยืนอีกรอบแล้วโยนของที่หยิบออกมาจากตู้ลงบนตู้กระจก หลังจากนี้จะเริ่มแก้แค้นแล้ว ฝ้ายหยกขาวสะอาดราวกับหยกก็โผล่ออกมาข้างนอกห่อผ้า
ระหว่างนั้นลิ่วชวงก็วางผ้าฝ้ายลงในตาชั่ง หลังจากที่รู้ว่าหนักกี่จิน ก็เห็นเขาอุ้มผ้าฝ้ายวิ่งไปที่ลานด้านหลังอีกรอบและตรงเข้าไปในห้องครัว หลังจากจุดฟืนที่ติดไฟได้จำนวนหนึ่งแล้ว ก็ยัดห่อผ้าทั้งหมดที่อยู่ในมือเข้าไปในเตาไฟ
เปลวไฟในเตาลุกไหม้จากจุดเล็ก ๆ จนกลายเป็นเปลวไฟขนาดใหญ่ เมื่อเห็นว่าฝ้ายหยกขาวมีราคาแพงพอ ๆ กับทองคำนั้นอยู่ในมือของลิ่วชวงราวกับเป็นเศษขยะ ได้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตาแล้ว
เหมือนกลัวว่าจะหลงเหลือเศษขยะอะไรสักอย่างไว้ หลังจากที่ลิ่วชวงเห็นว่าเปลวไฟกำลังจะมอดลง ก็ส่งฟืนเข้าไปในเตาอีกหลายกำมือจนแน่ใจว่าถูกเผาไหม้จนหมดแล้วลิ่วชวงจึงหยุดมือ หลังจากจัดฟืนให้เป็นระเบียบแล้ว จึงล้างมือให้สะอาดแล้วกลับไปที่หลังตู้กระจกอีกรอบ
พอก้มตัวลงเขาก็ยื่นมือไปที่ใต้ตู้อีกครั้งแล้วแตะบางสิ่งบางอย่าง จนกระทั่งสัมผัสเข้ากับห่ออันหนึ่งแล้วเขาจึงเปิดออก ข้างในนั้นเป็นก้อนทองที่ส่องแสงระยิบระยับและเงินแท่งอีกหลายแท่ง เขาเลือกออกมาสองสามอันและวางใส่กลับไปในตู้เก็บเงิน จากนั้นก็รวบรวมนำเงินที่เหลือใส่ไว้ในแขนของเขา
เมื่อมาถึงด้านหลัง เขาก็หยิบบันทึกการซื้อขายสินค้าของร้านขายผ้าหลานชิงขึ้นมา และจดบันทึกเพิ่มเติมลงไปสองสามรายการ จากนั้นก็วางบันทึกกลับไปที่เดิม หลังจากทำทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงมาตรงประตูและเปิดประตูร้านขายผ้าหลานชิงใหม่อีกรอบ
ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาหอบพัดเอาลมหนาวเข้ามาในประตูที่เปิดอยู่ เหมือนกับว่าทุกอย่างเมื่อครู่นี้ยังเป็นเหมือนเดิมและเหมือนกับมีตรงไหนแตกต่างออกไป
จนกระทั่งฟ้าใกล้จะมืดลงแล้ว กู้เสี่ยวอี้จึงกลับไปที่สวนชิง
กู้เสี่ยวอี้พูดว่า “พวกข้าวิ่งไปหาร้านขายผ้าทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว ล้วนไม่มีผ้าฝ้ายขายเลย”
กู้ฟางสี่ตกตะลึงเล็กน้อย “ร้านขายผ้าหลานชิงเองก็ไม่มีแล้วหรือ”
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ” โค่วตันที่ไปด้วยรินชาร้อนถ้วยหนึ่งให้กู้เสี่ยวอี้และพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เฮ้อ เห็นว่าตุ๊กตาสองตัวนั้นจะต้องส่งของหลังเทศกาลหยวนเซียวแล้ว นี่ไม่มีผ้าฝ้ายจะทำอย่างไรดี” กู้ฟางสี่ลูบมือด้วยสีหน้าร้อนใจ
แม้ว่าของที่ร้านหล่านเยว่ขายนั้นจะราคาแพง แต่ว่าชื่อเสียงในการค้าขายก็ดีเป็นอันดับหนึ่ง ขอเพียงแค่ลูกค้าบอกว่าต้องการสินค้าเมื่อใด ขนาดนั้นจะทำออกมาได้หรือไม่ ร้านหล่านเยว่ก็จะต้องส่งของตรงเวลาในวันนั้นอย่างแน่นอน
มิฉะนั้นตุ๊กตาก็จะเปล่าประโยชน์และยังต้องจ่ายค่าผิดสัญญาอีกสามเท่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือร้านหล่านเยว่จะต้องเอ่ยปากยอมรับความผิดพลาดกับผู้ซื้อด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดาแล้ว เพราะว่าร้านหล่านเยว่มีข้อตกลงเช่นนี้ ดังนั้นกู้ฟางสี่จึงกังวลมากขนาดนี้
หาซื้อผ้าฝ้ายไม่ได้ก็ทำตุ๊กตาไม่สำเร็จ หลังเทศกาลหยวนเซียวไม่สามารถส่งตุ๊กตาได้ เช่นนั้นร้านหล่านเยว่
คงถูกจะกระทบกระเทือนแล้ว