ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1760 ความรัก
บทที่ 1760 ความรัก
ซูเผยอันที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของลูกชายตนเอง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินคำถามของผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายและรีบขอโทษผู้คนด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าทุกท่าน ต้องขออภัย ช่วงนี้ลูกชายของข้าทำงานหนักเกินไป”
ซูจือเยว่เป็นคนที่หมิงตูจวิ้นจู่รัก และหมิงตูจวิ้นจู่ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องคนเดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ผู้ใดเล่าจะกล้าทำให้ซูจือเยว่ขุ่นเคือง
ดังนั้นทุกคนจึงบอกซูจือเยว่อย่างกระตือรือร้นว่าให้พักผ่อนมากขึ้น ซูเผยอันจึงขอบคุณพวกเขาทีละคนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงพาซูจือเยว่ซึ่งยังคงตกตะลึงเล็กน้อยไปด้านข้าง
ซูจือเยว่ไม่ตอบสนองราวกับว่ามีใครมาพรากวิญญาณของเขาไป ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ซูเผยอันพูดได้แม้แต่คำเดียว
ภายในใจของเขา ได้ยินเพียงประโยคเดียวคือเสียงของคนรับใช้ที่ตะโกนว่า “อันผิงจวิ้นจู่มาแล้ว!”
กู้เสี่ยวหวานอยู่ที่นี่ ตอนนี้นางอยู่ที่งานเลี้ยงถูกกั้นด้วยฉาก
ซูจือเยว่จ้องเขม็งไปยังฉากกั้นแยกระหว่างแขกชายและหญิงด้วยสายตาว่างเปล่า อยากจะก้าวไปข้างหน้าทันทีและเคาะให้เปิดออก
ท่าทีที่ผิดปกติของซูจือเยว่ทำให้ซูเผยอันขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ฟังคำพูดของตัวเองเลย ใบหน้าของเขาก็ฉายแววสนุก ซูเผยอันเคยเห็นมันมาก่อน ท่าทางนี้…
ซูเผยอันเคยสัมผัสประสบการณ์ความตื่นเต้นยามมีความรัก เขาเฝ้าดูลูกชายตนเองเติบโตขึ้น และบางครั้งเพียงแค่มองเขาก็รู้ว่าลูกชายคิดอะไรและทำอะไร
ลูกชายของเขามีพรสวรรค์และมีความสามารถในการเรียนและศิลปะการต่อสู้ เขาเลี้ยงลูกชายคนนี้มากับมือ จนกระทั่งตอนนี้ลูกชายคนนี้เก่งกว่าเขาเสียอีก
ซูเผยอันรู้สึกภาคภูมิใจ เส้นทางของตระกูลซูดูเหมือนจะราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ
ความเป็นผู้ใหญ่และความมั่นคงของซูจือเยว่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นในหมู่ผู้ชายวัยเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เองซูเผยอันจึงมีความคาดหวังสูง และหวังว่าในอนาคต ลูกชายของเขาจะแซงหน้าตนเองอย่างแน่นอน
เขาคิดเช่นนั้น และซูจือเยว่ก็ทำเช่นเดียวกัน
ในวัยเด็กเขาได้รับการชื่นชมจากฮ่องเต้ แม้ว่าจะยังไม่ได้ก้าวสู่ราชสำนักอย่างเป็นทางการ แต่การติดตามของเขาย่อมได้ทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา การที่ซูจือเยว่จะเข้าราชสำนักได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฮ่องเต้
แต่ท่าทางและสีหน้าตอนนี้เป็นสิ่งที่ซูเผยอันไม่เคยเห็นมาก่อน
แม้แต่ต่อหน้าหมิงตูจวิ้นจู่ที่ติดตามเขาตลอดเวลา สีหน้าของเขาก็ยังเฉยเมย แทบจะไม่เผยรอยยิ้มออกมา
ไม่เคยเห็นเขามีความรักมาก่อน
หัวใจของซูเผยอันจมดิ่งลง
สายตาของซูจือเยว่มองตามร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังฉาก และเอาแต่มองอยู่เช่นนั้นตลอด
บนโต๊ะของฝ่ายหญิง หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูนั่งลง เสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นข้างหลังพวกนาง “โอ้ ฮู้กั๋วจวิ้นจู่และอันผิงจวิ้นจู่อยู่ที่นี่ เมืองหลวงของเรามีท่านจวิ้นจู่เพียงสามคน และสองในสามก็มาที่นี่แล้ว ท่านพ่อของเราช่างมีเกียรติจริง ๆ”
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าผู้ใดเป็นคนผู้
ท่านพ่อของเรา
คนที่พูดถ้าไม่ใช่ฟางหลานซินก็ต้องเป็นฟางจู๋อวิ๋น
แน่นอนว่าเมื่อมองกลับไปก็เห็นฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋น พวกนางสวมเสื้อผ้าสีม่วงแดงสดใสยิ่ง
วันนี้เป็นวันแห่งความสุข พวกนางจึงสวมทั้งสีแดงและสีม่วง ลานขนาดใหญ่เต็มไปด้วยสีแดงและสีม่วง มันดูมีชีวิตชีวามาก
ตระกูลฟางแต่งงานกับนายหญิงคนใหม่ และลูกสาวของอนุภรรยาเช่นฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ แม้ว่าพวกนางจะเป็นสมาชิกของตระกูลฟาง แต่พวกนางก็เป็นเพียงลูกสาวของอนุ พวกนางจึงไม่สามารถค้านอะไรได้
ถ้าตระกูลฟางมีลูกของภรรยาเอกหน้าที่นี้จะไม่มีวันตกลงมาถึงพวกนาง ท้ายที่สุด พวกนางยังคงถูกเรียกว่าคุณหนูของตระกูลฟาง และหลิวเนี่ยนโหรว แม่ของพวกนางก็มีตำแหน่งดีกว่าสาวใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในโอกาสเช่นนี้นางไม่สามารถแม้แต่จะปรากฏตัวได้ นางทำได้เพียงอยู่ในลานเล็ก ๆ และไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยเพื่อรับรองแขก
หลิวเนี่ยนโหรวมาไม่ได้ แต่ลูกสาวทั้งสองมาแทน
นี่เป็นโอกาสดีที่จะแสดงใบหน้าของนางต่อหน้าผู้หญิงทุกคนในเมืองหลวง หลิวเนี่ยนโหรวรู้ว่าตราบใดที่ลูกสาวของนางประพฤติตนอย่างมีเกียรติและเหมาะสมในโอกาสเช่นนี้ ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อการแต่งงานของพวกนางในภายภาคหน้า
ด้วยเหตุนี้หลิวเนี่ยนโหรวจึงไปที่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วเป็นพิเศษเพื่อผลิตเสื้อผ้าสองชุดสำหรับฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋น โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้พวกนางดูโด่ดเด่นในงานเลี้ยง
และเพื่อความปลอดภัย หลิวเนี่ยนโหรวก็จับทั้งสองคนให้ตื่นก่อนรุ่งสาง แต่งตัวและกำชับเรื่องนี้กับพวกนางอยู่นานสองนานโดยบอกพวกนางว่าอย่าสร้างความเดือดร้อน และเพียงแค่ทำให้งานเลี้ยงจบลงอย่างราบรื่น
ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นเป็นลูกอนุ ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่จะได้โดดเด่นต่อหน้าผู้หญิงในเมืองหลวง และทั้งสองคนจึงตื่นเต้นมากและบอกว่าพวกนางจะตั้งใจทำให้ดี
พวกนางยังรู้อีกว่าเป็นการดีที่จะเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับชื่อเสียง และความสามารถของพวกนางผ่านวันแต่งงานของท่านพ่อ
พวกนางสง่างามและใจกว้าง แต่เมื่อกู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูมาที่โต๊ะ พวกนางก็ไม่สามารถระงับสีหน้าของตัวเองได้ และฟางจู๋อวิ๋นยังเด็ก ดังนั้นนางจึงลืมคำแนะนำของหลิวเนี่ยนโหรวทันที
ฟางหลานซินโตกว่า เมื่อได้คำพูดที่หยาบคายของน้องสาว นางจึงรีบปรามและออกมาคำนับ “ยินดีต้อนรับจวิ้นจู่ทั้งสอง เป็นเกียรติแกจวนตระกูลฟางจริง ๆ”
ถานอวี้ซูฟังพวกนางอย่างใจเย็น ครั้นเห็นฟางจู๋อวิ๋นอยู่ที่โต๊ะดังนั้นจึงถามด้วยความสงสัย “เอ๋ ทำไมไม่เห็นเพ่ยหยาที่นี่ล่ะ”
ตระกูลฟางแต่งงานกับนายหญิงคนใหม่ และในโอกาสสำคัญเช่นนี้คนที่มาต้อนรับฝ่ายผู้หญิง พูดตามเหตุผลแล้วควรเป็นลูกสาวของภรรยาเอกตระกูลฟาง ไม่ใช่ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋น
………………..