ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1769 พวกเจ้าอย่าตำหนิข้าเลย
บทที่ 1769 พวกเจ้าอย่าตำหนิข้าเลย
ฟางจู๋อวิ๋นจะกล้าเชื่อได้อย่างไรว่าหญิงสาวตรงหน้านาง ซึ่งสวยกว่าตัวเองคือลูกสาวสายตรงเพียงคนเดียวของตระกูลฟาง
แต่อย่างไรก็ตาม ไฝบริเวณหลังหูนั้นอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับฟางเพ่ยหยา สิ่งนี้ทำให้จู๋อวิ๋นกรีดร้องราวกับว่านางเสียสติไปแล้ว
“ใต้เท้าฟาง ข้าคงต้องเบิกตากว้างมองครอบครัวของท่านใหม่จริง ๆ” จู่ ๆ ก็มีใครบางคนเอ่ยขึ้น
ใบหน้าของฟางเจิ้งสิงมืดมน เมื่อมองไปที่ฟางจู๋อวิ๋นอย่างไม่อาจระงับอารมณ์ได้ เขาอยากจะก้าวไปข้างหน้า ตวัดฝ่ามือลงแก้มนาง
“หุบปากเสีย” ฟางเจิ้งสิงตะโกนพลางจ้องฟางจู๋อวิ๋นสายตามมาดร้าย ฟางจู๋อวิ๋นปิดปากเงียบสนิท และเบี่ยงตัวหลบด้านหลังฟางหลานซิน
หากแต่สายตายังมองไปที่ฟางเพ่ยหยาเป็นครั้งคราว นางแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น และหัวใจก็รู้สึกอิจฉา
ฟางเจิ้งสิงขมวดคิ้วมุ่นมองไปที่ฟางเพ่ยหยา ตอนนี้ถึงฤกษ์เข้าหอแล้ว หากเขาช้าไปแม้ชั่วพริบตา ทุกอย่างต้องแย่ลง
ฟางเจิ้งสิงมองไปในห้อง พลันเห็นเด็กผู้ชายสองคนนอนอยู่บนเตียง โบราณกล่าวว่าเมื่อแต่งงาน ก่อนเข้าหอให้เด็กชายนอนลงบนเตียงแล้วท้องแรกจะเป็นผู้ชาย
เมื่อเห็นท่าทางเร่งรีบของเขา ฟางเพ่ยหยาก็กระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และตะเบ็งเสียงดัง “ท่านพ่อ ข้าไม่รีบหรอกเจ้าค่ะ ข้ามาที่นี่เพื่อเอาของให้ท่านแม่ และข้าจะออกจากที่นี่ทันทีเมื่อได้มันมา”
ฟางเจิ้งสิงคิดว่าหลูเหวินซินอาจจะลืมของบางสิ่งไว้ที่นี่ จึงคร้านจะสนใจลูกสาวคนนี้ และโบกมือกล่าวว่า “เจ้าไปเอาเถอะ”
เมื่อเห็นว่าเขาจากไปอย่างกระวนกระวาย ฟางเพ่ยหยาก็ไม่ได้สนใจ นางหัวเราะเบา ๆ และไม่ได้มองผู้แสดงความยินดีที่อยู่รอบตัว ทันใดนั้นนางก็หันไปข้างหลังและพูดว่า “ลงมือเลย!”
ทันใดนั้นคนหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน แต่ละคนถือบางอย่างอยู่ในมือ และวิ่งตรงไปที่ห้องโถง
ในขณะนี้ สินสอดทองหมั้นหนึ่งร้อยแปดอย่างถูกวางไว้ในห้องโถงใหญ่ โดยมีคนรับใช้ของตระกูลฟางกำลังเฝ้าอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นชายฉกรรจ์หลายสิบคนวิ่งไปที่ห้องโถงก็ได้แต่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ฟางเพ่ยหยาถือบางอย่างอยู่ในมือ และก้าวเดินไปยังห้องโถง
ไม่เพียงแต่คนรับใช้ในห้องโถงเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่แขกที่มาร่วมแสดงความยินดีก็ตกตะลึงเช่นกัน
ฟางเพ่ยหยาบอกว่านางมาเอาของให้ท่านแม่ไม่ใช่หรือ?
ทำไมนางถึงไปที่ห้องโถงที่วางสินสอดทองหมั้นไว้ล่ะ?
ท่านแม่เรอะ?!
ฟางหลานซินตัดสินสถานการณ์และเรียกเด็กผู้หญิงที่อายุมากกว่านางไม่มากว่าเป็นท่านแม่ของนาง
ช่างเป็นลูกกตัญญูจริง ๆ
ฟางเพ่ยหยายิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ตอนที่ท่านแม่อยู่ในจวนตระกูลฟาง ตอนนั้นในฐานะฮูหยินใหญ่ นางจึงทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้กับสองคนนี้เพื่อเอาใจฟางเจิ้งสิง
แม้ว่าฟางเจิ้งสิงจะเก็บงำเรื่องนี้ไว้ แต่ท่านแม่ก็รักท่านพ่อและทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพอใจ และปฏิบัติต่อหลิวเนี่ยนโหรวและลูกสาวอย่างดี
ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าใช้จ่ายทุกอย่างหลิวซื่อและลูกสาวอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง เรียกได้ว่าทุ่มทั้งกายและใจ แต่ถึงกระนั้น หลังจากทั้งสามคนดูเหมือนจะตั้งหลักได้มั่นคงแล้ว พวกนางจึงไม่สนใจมารดาของตนอีก
อย่าว่าแต่เรียกท่านแม่เลย บางครั้งก็ยังแสดงท่าทีหยาบคายออกมา
เป็นเรื่องแปลกที่หลังจากผ่านไปหลายปีฟางหลานซินกลับเรียกคนอื่นว่า ‘ท่านแม่’
ลูกสาวสายรองเรียกฮูหยินคนใหม่ที่อายุห่างจากตนเองไม่มากว่าท่านแม่ และหลิวเนี่ยนโหรวเป็นอนุภรรยา แม้ว่านางจะได้รับการสนับสนุนจากฟางเจิ้งสิง แต่การที่ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นกล้าเรียกว่าอีกฝ่ายว่าท่านแม่นั้นถือเป็นเรื่องที่เกินคาด
อย่างไรก็ตามฟางเจิ้งสิง หลงใหลพวกนางสามแม่ลูก และเกรงว่าหากพวกนางต้องการดวงดาวบนท้องฟ้าฟางเจิ้งสิงก็คงจะคว้ามันมาให้นาง
ทว่า…
เมื่อเห็นฮูหยินคนใหม่เข้าประตูก็พบเด็กที่นอนทับเตียง ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ฟางเจิ้งสิงกำลังวางแผนที่จะให้กำเนิดลูกชายคนแรก
ใบหน้าของฟางเพ่ยหยายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ นางมองไปที่ฟางหลานซินที่กำลังพูดอย่างชอบธรรมด้วยความเศร้าใจ “ทำไมเจ้าถึงห้ามไม่ให้ข้าเอาของของท่านแม่ไปล่ะ”
“นี่เป็นของของท่านแม่ข้า หากเจ้าต้องการเอาไปก็ให้ไปเอาที่บ้านของแม่เจ้าเสีย” ฟางหลานซินกดเสียงต่ำพูดกับฟางเพ่ยหยา เมื่อเห็นความคับข้องใจบนใบหน้าของฟางเพ่ยหยา ก็หมายรุดขึ้นหน้าคิดจะกระชากตัวนางไว้
“วันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่กำลังจะแต่งงาน แต่เจ้ากลับสร้างเรื่องวุ่นวาย เราทุกคนเป็นคนตระกูลฟาง เราต้องคิดถึงหน้าตาของตระกูลฟาง” เสียงของฟางหลานซินไม่ดังเกินไป แต่ดังพอให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างจะได้ยิน
เป็นประโยคที่แสดงถึงความชอบธรรมและความเข้าใจ จากนั้นนางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความเสียใจ ท่าทางละเอียดอ่อนที่พยายามแสดงออกมา สวยงามยิ่งกว่าภาพวาดเสียอีก
ฟางหลานซินยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของฟางเพ่ยหยา
แต่ฟางเพ่ยหยาจะปล่อยให้นางแตะต้องตัวเองได้อย่างไร จึงรีบถอยห่างจากหลานฟางซินทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฟางจู๋อวิ๋นที่อยู่ด้านข้างก็ตำหนิด้วยความไม่พอใจทันที “ฟางเพ่ยหยา ท่านพี่ของข้าบอกว่าอย่ายุ่ง ได้ยินหรือไม่ว่าวันนี้มันเป็นวันมงคล ทำไมเจ้าต้องมาสร้างปัญหาที่นี่”
ฟางจู๋อวิ๋นคนนี้คงคิดว่าตัวเองเป็นลูกสายตรงของตระกูลฟาง เลยจะทำอะไรก็ได้สินะ
น้ำตาของฟางเพ่ยหยาร่วงหล่นลงมาราวกระต่ายขาวตัวน้อยที่ตื่นตระหนก ร่างกายสั่นเทิ้มขยับถอยหลังอย่างขลาดกลัว “หลานซิน จู๋อวิ๋น ข้า…ข้ามาที่นี่เพื่อเอาของของท่านแม่คืน พวกเจ้าอย่าตำหนิข้าเลย”
ผู้คนรอบข้างตัวเข้าทื่อ
ดูเหมือนว่าลูกสาวสายตรงตระกูลฟางจะไม่ได้มีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับลูกสาวสายรองซึ่งเกิดจากอนุภรรยา คาดว่าข่าวลือคงกลายเป็นจริง และที่สำคัญไปกว่านั้นลูกสาวสายตรงตระกูลฟางต้องพึ่งพาลูกสาวอนุภรรยา
ความตื่นตระหนกในดวงตาของฟางเพ่ยหยาฉายชัด หยาดน้ำตาบริเวณหางตา น้ำเสียงเศร้าโศกทำให้ทุกคนเชื่อว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางคนนี้ต้องรองรับอารมณ์ตกเป็นเบี้ยล่างของลูกสาวสายรองมาตลอด ดังนั้นไม่ว่าพวกนางพูดอะไรออกมาไม่กี่คำ ก็ทำให้คุณหนูตกใจกลัวจนร้องไห้
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นว่าลูกสาวสายรองนั้นยิ่งใหญ่กว่าลูกสาวสายตรง และมีเพียงตระกูลฟางเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้” ใครบางคนเย้ยหยัน
………………..