ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1778 คัดลอกพระราชโองการ
“เจ้าค่ะ ขอบคุณขันทีฉีมาก” ฟางเพ่ยหยาคำนับ
ใบหน้าของฟางเจิ้งสิงก็มืดเหมือนก้นหม้อ
เขาไม่เคยคิด ฮ่องเต้จะแต่งตั้งหลูเหวินซินเป็นเก้ามิ่งฟูเหรินอันดับหนึ่ง ทั้งยังประกาศราชโองพร้อมกับหวงหรูซื่อ ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อครู่ขันทีฉีลืมประกาศราชโองการ เพราะคิดว่าเขาต้องไปประกาศราชโองการที่จวนหลู!
“ขันทีฉี พระราชโองการของข้าล่ะ” หวงหรูซื่อลุกขึ้น กัดฟันถามขันทีฉี และเหลือบตามองไปที่ฟางเพ่ยหยาที่อยู่ด้านข้าง
ขันทีฉีแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาของหวงหรูซื่อ และพูดด้วรอยยิ้มว่า “เพราะได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งแล้ว ดังนั้น เจ้าและฮูหยินหลูทั้งสองคนล้วนอยู่บนราชโองการ หากฮูหยินฟางต้องการ โปรดไปคัดลอกราชโองการที่จวนหลู เพราะนางคือเก้ามิ่งฟูเหรินระดับหนึ่ง” ขันทีฉีพูดด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีเหตุผลที่เก้ามิ่งฟูเหรินระดับสองจะนำพระราชโองการให้ฮูหยินอันดับหนึ่งไปคัดลอกสำเนา!
สีหน้าของหวงหรูซื่อแปรเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ!
ขันทีฉีหันหลังกลับและจากไปพร้อมกับขันทีน้อยที่พามา โดยไม่สนใจเสียงพูดคุย และถ้อยคำเสียดสีด้านหลัง
ครั้นเดินมาถึงประตู ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาจากด้านหลัง “ขันทีฉี ท่านรอก่อน!”
ขันทีฉีหันกลับมาก็เห็นฟางเพ่ยหยาถือราชโองการมาข้างหน้าอย่างลังเล “ขันทีฉี นี่…”
นางมองราชโองการในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “นี่คือ….”
นางไม่รู้จักใครในวังหลวง ผู้ใดกันที่ประกาศพระราชโองการที่สำคัญให้กับนางและท่านแม่ ทั้งยังเป็นวันที่ฟางเจิ้งสิงแต่งภรรยา
เกรงว่าหวงหรูซื่อเห็นราชโองการนี้คงแทบจะกระอักเลือด
ตระกูลหวงและตระกูลฟางต่างเป็นขุนนางระดับสูง ฮ่องเต้จะออกพระราชโองการเพื่อแยกสองตระกูลได้อย่างไร
นางคิดไม่ออก และไม่เข้าสิ่งใดทั้งสิ้น
ขันทีฉีรู้ว่านางอยากถามอะไร จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “นี่คือพระประสงค์ของฮ่องเต้ ข้าไม่รู้ แต่…ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ไปถามจวิ้นจู่ด้วยตนเองเถอะ นางจะให้คำตอบเจ้าได้อย่างแน่นอน”
ท่านพี่?
ดวงตาของฟางเพ่ยหยาเป็นประกาย และทำความเคารพอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณขันทีฉี”
งานแต่งงานครั้งนี้ นางไม่จำเป็นต้องกลับไป ดังนั้นจึงนั่งกลับขึ้นไปบนรถม้าและรอพวกนางสองคน
กู้เสี่ยวหวานกับถานอวี้ซูเห็นขันทีฉีอ่านพระราชโองการแล้ว และราชโองการนั้นยังแต่งตั้งถึงสองคน กลั่นแกล้งกันเช่นนี้ เกรงว่านอกจากคนในวังหลวงแล้ว ก็ไม่มีใครคิดได้
“วิธีนี้โหดเหี้ยมจริง ๆ ตราบใดที่นางเห็นราชโองการ จะต้องกระอักเลือดแน่ ๆ” ถานอวี้ซูหัวเราะคิกคักกับกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานเองก็หัวเราะอย่างขบขัน
งานแต่งครั้งนี้ มีทั้งแย่งสินสอด ทั้งประกาศราชโองการน่าสนุกจริง ๆ เกรงว่าหวงหรูซื่อจะไม่มีวันลืมวันนี้ไปตลอดชีวิต
เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน และต้องการให้นางได้จารึกเรื่องนี้ลงในส่วนลึกของหัวใจ
“พวกเรากลับกันเถอะ…” กู้เสี่ยวหวานเอ่ย โดยที่ถานอวี้ซูเองพยักหน้าไม่ได้คัดค้าน และเมื่อทั้งสองกำลังจะจากไป
“อันผิงจวิ้นจู่…”
น้ำเสียงดีอกดีใจดังมาจากด้านหลัง
กู้เสี่ยวหวานหยุดนิ่ง และสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
ซูจือเยว่ตามหากู้เสี่ยวหวานจากท่ามกลางฝูงชนไม่หยุด แต่ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด ดังนั้นจึงหานางไม่พบ
เขายังคงมองหาอยู่เช่นนั้นจนกว่าทุกคนจะเข้าประจำที่ของตน ในตอนที่เขากำลังจะยอมแพ้ร่างที่คุ้นเคยก็ก้าวออกมาจากมุมอับ
เขารีบไปข้างหน้าเอ่ยรั้งพวกนางเอาไว้
ถานอวี้ซูหันกลับมาถามอย่างอวดดีว่า “คุณชายซู มีอะไรหรือ”
ซูจือเยว่ทำความเคารพถานอวี้ซู “ฮู้กั๋วจวิ้นจู่…อันผิงจวิ้นจู่”
ใบหน้าเล็ก ๆ ที่น่ารักนั้น แต่ดวงตาดำขลับคู่นั้นกลับเย็นชาและห่างเหิน
ซูจือเยว่มองใบหน้าคนที่ตัวเองคิดถึงทั้งวันทั้งคืน ราวกับว่าต้องการสลักใบหน้านั้นไว้ในใจ
“คุณชายซูมีอะไรหรือ” เมื่อเห็นเขาจ้องตัวเอง กู้เสี่ยวหวานก็ขมวดคิ้ว
ซูจือเยว่กลับมารู้สึกตัวอีก “จวิ้นจู่ ไม่เจอกันนาน เจ้า…สบายดีหรือ”
ใช่น่ะสิ มีอะไรหรือ?
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “สบายดีเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณชายซูที่จำได้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร พวกเราขอตัวก่อน”
พูดจบก็ไม่รอให้ซูจือเยว่พูดอะไร กู้เสี่ยวหวานหันหลังจากไป และไม่หันกลับมาทางซูจือเยว่อีกเลย
ซูจือเยว่เห็นนางกำลังจากไป ก็รีบรุดขึ้นหน้าขวางนางไว้ แต่มือที่ยื่นออกไปกลับชะงักค้างกลางอากาศ
“พี่จือเยว่…” เสียงหนึ่งเรียกเขาอย่างอ่อนโยน จากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงนั้นอ่อนโยนมาก แต่เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งหลัง
“เมื่อกี้พี่จือเยว่คุยกับใครหรือ” ซูหมิ่นมาหาซูจื่อเย่ว จ้องตามกู้เสี่ยวหวานผ่านไปจนลับสายตา
“ไม่…ไม่มี” ซูจือเยว่ยื่นมือออกไปและตอบอย่างผิดหวัง
“โอ้ ใช่หรือ ไม่มีใครหรือ งั้นทำไมข้าเห็นพี่จื่อเย่วยืนอยู่ที่นี่ตลอด” ซูหมิ่นจ้องเข้าไปในดวงตาของซูจื่อเย่วและถามด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตานั้นเย็นชาเหมือนถ้ำน้ำแข็ง
ซูจื่อเย่วพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่หรือ แค่คนถามทาง พูดกันแค่ไม่กี่คำ”
ซูหมิ่นพยักหน้าด้วยท่าทางที่เชื่อในตัวอีกฝ่าย และไม่ได้ถามสิ่งใดอีก พลางจับแขนของซูจือเยว่และพูดว่า “พี่จือเยว่ ต้นเหมยที่วัดกว่างหยวนบานแล้ว ท่านไปดูเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”
ซูหมิ่นดึงซูจือเยว่ ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ตนราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ ซูจือเยว่รู้สึกเย็นราวกับน้ำแข็งจากฝ่ามืออันนุ่มนวล ถ้าเขาตอบปฏิเสธ….