ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 179 คิดการใหญ่โต
บทที่ 179 คิดการใหญ่โต
บทที่ 179 คิดการใหญ่โต
กู้หนิงอันยิ้มเมื่อได้ยิน แต่ก็ไม่รู้ว่าฟังเข้าใจหรือไม่
“จำสิ่งนี้เอาไว้ เจ้ารีบไปกับข้าเถอะ พี่สาวของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว!” ฮูหยินสวีนึกได้และพูดอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่กู้หนิงอันได้ยินว่าพี่สาวอยู่ที่นี่ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความสุข และอดไม่ได้ที่จะกำชายเสื้อแน่น รีบตามหลังฮูหยินสวีไปอย่างรวดเร็ว
ในหอหนังสืออวี้ กู้เสี่ยวหวานกำลังพลิกดูหนังสืออย่างสบาย ๆ ตอนนี้หนังสือทั้งหมดเป็นตัวอักษรจีนดั้งเดิม ซึ่งกู้เสี่ยวหวานเดาได้เพียงครึ่งเดียว แต่ก็ยังพอเข้าใจเรื่องราวในนั้นได้
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกทึ่งกับบันทึกการเดินทางในมือของนาง โดยที่ไม่รู้สึกถึงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่อยู่ข้างหลัง
อากาศข้างนอกสดใสและมีแสงแดด หน้าต่างบานใหญ่หลายบานในหอหนังสืออวี้ถูกเปิดออก แสงแดดฤดูใบไม้ผลิจากภายนอกส่องเข้ามากระทบใบหน้าของกู้เสี่ยวหวาน
แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิส่องลงบนใบหน้าของนางและกระจายรัศมีนุ่มนวลจนดูราวกับว่าร่างกายของนางถูกปกคลุมไปด้วยแสงอ่อน ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่ก็งดงามราวกับภาพวาด
ไม่มีใครทำลายความเงียบได้ในขณะนี้ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าในหอหนังสืออวี้ที่สว่างไสวแห่งนี้ มีบางอย่างดูเหมือนจะถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน และมันก็เริ่มละลายทีละน้อย
“เสี่ยวหวาน หนิงอันมาแล้ว!”
ในที่สุดความสงบก็ถูกทำลาย กู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงของฮูหยินสวีจึงรีบวางหนังสือในมือลง หันหลังกลับและรีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อเห็นว่ากู้หนิงอันที่ไม่ได้เจอกันนานกว่าสิบวันออกมาจากด้านหลังม่าน กู้เสี่ยวหวานก็ยิ้มพลางขณะมองเด็กชายและกล่าวว่า “ไม่เลว สูงขึ้นแล้วนี่”
กู้หนิงอันก็คิดถึงพี่สาวของเขาเช่นกัน รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา พี่น้องพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะ ถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียนและเรื่องครอบครัว ฮูหยินสวีไม่ได้รบกวนพวกเขา นางก้าวออกไปอย่างเงียบ ๆ และเห็นสวีเฉิงเจ๋อบุตรชายของตนเองยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น
ฮูหยินสวีรีบก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างตำหนิ “เจ้าไปอ่านหนังสือที่ไหนมา?”
สวีเฉิงเจ๋อไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ และเมื่อเขาเห็นมารดาของเขาถามคำถาม เขาก็กลับมามีสติอีกครั้ง “ท่านแม่…”
ฮูหยินสวีเหลือบมองและพูดอย่างโกรธเคือง “ยังไม่รีบกลับไปอีก นี่ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว”
“เออ เออ…” สวีเฉิงเจ๋อไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ได้ทักทายพวกกู้เสี่ยวหวาน แล้วรีบวิ่งหนีไป
ฮูหยินสวีที่เห็นลูกชายของตนเองเป็นแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะพึมพำ “เป็นอะไรไป? ทำไมลุกลี้ลุกลนขนาดนั้น!”
เนื่องจากกู้หนิงอันกำลังจะเข้าเรียนในเร็ว ๆ นี้จึงมีเวลาไม่มาก กู้เสี่ยวหวานจึงเอ่ยสั้น ๆ ยื่นขนมที่นางเพิ่งซื้อให้กู้หนิงอันและให้เงินอีกเล็กน้อย
กู้หนิงอันรู้ว่าพี่สาวของเขาให้อะไรจึงรีบผลักมันออกไป “ท่านพี่ ข้ายังมีเงินอยู่ ท่านเอาคืนไปเถอะ”
“ข้าอยู่ในหมู่บ้านกับน้องชายและน้องสาวของเจ้า จะใช้เงินได้อย่างไร แต่เจ้าเรียนที่นี่ จึงจำเป็นต้องซื้อกระดาษ พู่กัน หนังสืออะไรก็แล้วแต่ที่อยากอ่านพวกนี้ ข้าไม่สนใจหรอก ถ้าเจ้าอยากซื้อก็ซื้อตามต้องการ”
“ท่านพี่…” กู้หนิงอันซาบซึ้งจนต้องสูดจมูก เขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ที่บ้านได้ชัดเจนมากขึ้น ต่อให้พี่สาวจะหาเงินได้ แต่เพราะว่าคราวนี้น้องสาวได้รับบาดเจ็บ เงินจำนวนหนึ่งก็ถูกใช้จนหมด กู้เสี่ยวหวานกลับยังคงไม่ละเลยเขา และปล่อยให้เขาซื้ออะไรก็ได้ที่เขาต้องการ กู้หนิงอันจึงรู้สึกซาบซึ้งมาก
“ในโลกนี้ เงินสามารถซื้อทุกอย่างได้ มีแค่นี้แหละ…” กู้เสี่ยวหวานชี้ไปที่ศีรษะของนางแล้วพูดว่า “ความรู้เท่านั้นที่เงินไม่สามารถซื้อมันได้!”
กู้เสี่ยวหวานรู้นิสัยของกู้หนิงอันดี เขาไม่ใช่คนประเภทที่ใช้เงินฟุ่มเฟือย และเขาจะไม่ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย สิ่งเดียวที่เขาสามารถใช้เงินซื้อได้คือ ซื้อหนังสือ พู่กัน กระดาษ แต่กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะใช้เงินไปเท่าไรก็ควรซื้อมัน
“อือ ท่านพี่ ข้ารู้! ” กู้หนิงอันทำได้เพียงรับเงินและถือมันไว้ในอ้อมแขนของเขา แต่ปฏิเสธที่จะรับติ่มซำในมือของพี่สาว “ท่านพี่ เอาติ่มซำนี้กลับไปให้น้องสาวเถอะ ร่างกายของนางเพิ่งจะดีขึ้น ท่านเอากลับไปเถอะ!”
“เจ้ากำลังเรียนข้างนอกคนเดียว ข้าเป็นห่วง เจ้ารับไปเถอะ ถ้าหิวก็จะได้มีอะไรกิน”
“ท่านพี่ ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้าเลย…” กู้หนิงอันอธิบาย “อาจารย์ทั้งสองและฮูหยินสวีดีต่อข้ามาก และฮูหยินสวีก็ทำอาหารให้กินมากมาย และในตอนกลางคืนอาจารย์น้อยบอกว่าจะฝึกการฝนหมึกให้ แต่ให้นักเรียนคนอื่นดู อาจารย์น้อยมักจะบรรยายให้ข้าฟัง ถ้ามันดึกเกินไปฮูหยินสวีก็จะนำของว่างตอนกลางคืนมาให้ ข้าไม่อดอยากแน่นอน ท่านพี่สบายใจกับเรื่องนี้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็โล่งใจ ลูบหัวกู้หนิงอันเหมือนแม่ และพูดอย่างจริงจังว่า “ดีแล้วที่อาจารย์และฮูหยินสวีรักเจ้า เจ้าอย่าทำให้ทุกคนผิดหวังรู้หรือไม่?”
“ท่านพี่ ข้ารู้!” กู้หนิงอันแสดงสายตาและพูดอย่างแน่วแน่
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจก็ปรากฏขึ้น ใบหน้างดงามของนางปรากฏแววโล่งใจราวกับยกก้อนหินออกจากอก
ไม่รู้ว่านางโล่งใจแค่ไหนเกี่ยวกับน้องชายคนนี้ ทั้งมั่นคง มีความรู้ เฉลียวฉลาด เฉียบแหลม เขามีอุปนิสัยเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
หลังจากบอกลากู้หนิงอันอย่างไม่เต็มใจ กู้เสี่ยวหวานกลับไปพร้อมกับท่านป้าจางและพี่ฉือโถว
ระหว่างทางกู้เสี่ยวหวานยังคงนิ่งเงียบ จ้องมองไปที่หน่อไม้สองสามตะกร้าแต่ไม่ได้พูดอะไร
ท่านป้าจางคิดว่ากู้เสี่ยวหวานกังวลว่าหน่อไม้พวกนี้จะขายไม่ได้ นางจึงรีบปลอบแล้วพูดว่า “เสี่ยวหวานไม่ต้องห่วง หน่อไม้พวกนี้ แสร้งทำเป็นว่าเราไม่เคยขุดมันมาก่อนก็แล้วกัน ไม่เป็นไรหรอกถ้าเราจะไม่สามารถขายมันได้”
ฉืออโถวขับเกวียนอยู่ข้างหน้าก็พูดว่า “ใช่ เสี่ยวหวาน เราเคยขุดหน่อไม้นี้มาก่อนหรือ? แสร้งทำเป็นว่าเราไม่เคยขุดมาก่อน แล้วข้าจะโยนทิ้งเมื่อกลับไป”
เมื่อได้ยินว่าหน่อไม้เหล่านี้จะถูกทิ้ง กู้เสี่ยวหวานรู้สึกกังวลเล็กน้อย “โยนทิ้ง? โยนทิ้งไปทำไมเจ้าคะ? ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่โยนมันทิ้ง แต่ข้าจะขุดมันอีกครั้ง”
“ว่าอย่างไรนะ” ท่านป้าจางคิดว่าตนได้ยินผิด และมองกู้เสี่ยวหวานอย่างสงสัย
“ท่านป้าจาง ท่านกับพี่ฉือโถวไปขุดหน่อไม้เถอะ ถึงตอนนี้จะขายไม่ได้ แต่ข้าจะหาวิธีขายให้เอง!” กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ อาหารจีนกว่าห้าพันปีนี้จะเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่เป็นนักชิมได้อย่างไร
ไม่เอาหน่อไม้หรือ? ไม่เป็นไร นางจะทำเป็นหน่อไม้แห้งไว้ขายให้ร้านขายของชำแทน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ปัญหาแค่นี้ทำอะไรเสี่ยวหวานไม่ได้หรอก ขายหน่อไม้สดไม่ได้ก็ขายหน่อไม้แห้งซะเลย
ไหหม่า(海馬)