ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1797 อร่อยกับผีสิ
บทที่ 1797 อร่อยกับผีสิ
เฉินเหมิ่งยังคงโทษตัวเองอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นว่าติงลุ่นทำอาหารด้วยตัวเองและกลิ่นก็เหมือนกับที่จวิ้นจู่อันผิงเตรียมไว้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ
โชคดีที่เขาทำมันออกมาได้ ไม่เช่นนั้นถ้าติงลุ่นรู้ว่าตัวเองกินหมดจนไม่เหลือให้เขา เขาคงไม่ยอมแน่
จนกระทั่งเนื้อกระต่ายไม่มีน้ำมันหยด เขาก็ใช้กิ่งไม้เสียบเข้าไปในเนื้อและมันก็สอดเข้าไปในเนื้ออย่างง่ายดายในคราวเดียว
ติงลุ่นกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น “สุกแล้ว สุกแล้ว…”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่ย่างต่อและฉีกเนื้อกระต่ายครึ่งหนึ่งไปให้เฉินเหมิ่งราวกับอวด “มามามา กินกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่ถือกระต่ายไว้ครึ่งหนึ่ง และเรียกกู้เสี่ยวหวานเป็นเชิงเย้ยหยัน “แม่นาง ท่านต้องการสักหน่อยไหม?”
กู้เสี่ยวหวานได้ยินและส่ายหน้า
เมื่อติงลุ่นเห็นว่านางไม่กิน น้ำลายเขาแทบจะไหลออกมา ดังนั้นจึงกัดกินคนเดียว ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งรู้สึกว่ารสชาติไม่ถูกต้อง!
เห็นได้ชัดว่ามีกลิ่นหอมมาก แต่ทำไมรสชาติ…
ทำไมไม่อร่อยเท่าตัวที่เขาย่างด้วยเกลืออย่างเดียวล่ะ?
ติงลุ่นกัดและใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เฉินเหมิ่งเห็นจึงถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”
ติงลุ่นขมวดคิ้วพลางชี้ไปที่เนื้อกระต่ายที่เขากัดในมือ และตะโกนอย่างเสียใจ “เหล่าเฉิน เจ้ากำลังพูดถึงอะไร? กลิ่นเหมือนกันขนาดนี้ แต่ทำไมชิมแล้วถึงมีรสชาติเช่นนี้?”
เมื่อเฉินเหมิ่งได้ยินก็ไม่อยากจะเชื่อ กลิ่นก็ออกจะเหมือนกัน จะไม่อร่อยไม่เหมือนกันได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงชิมมันราวกับว่าเขาไม่เชื่อ เพิ่งกัดเข้าไปคำแรก เนื้อสัมผัส ความนุ่ม และรสชาติของเนื้อนั้นแตกต่างกับเนื้อย่างของกู้เสี่ยวหวานเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
กลิ่นเหมือนกัน แต่รสชาตินั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
ใช้เครื่องปรุงเหมือนกัน กลิ่นหอมเหมือนกัน แต่ทำไมรสชาติ…
ติงลุ่นผู้ภูมิใจในตัวเองว่าเก่งเรื่องการย่าง ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ!
เกิดอะไรขึ้นกัน!
เห็นได้ชัดว่าเขาเฝ้าดูกระบวนการทำของกู้เสี่ยวหวานตั้งแต่ต้นจนจบและเห็นสิ่งที่นางใช้ เห็นกับตาว่าพวกเขาใช้เครื่องปรุงเหมือนกัน
ทำไมมันไม่อร่อย!
อันผิงจวิ่นจู่ก็ทำเหมือนเขาไม่ใช่หรือ
เมื่อเห็นใบหน้าที่โศกเศร้าและเหลือเชื่อของพวกเขาทั้งสอง อาโม่ก็หัวเราะเสียงดังลั่น “อะไรกัน ทำออกมาไม่อร่อยงั้นหรือ? ท่านคิดว่าทักษะนี้ง่ายต่อการเลียนแบบหรอกรึ คิดว่าแค่มองก็ทำได้แล้วงั้นเหรอ! อย่าเข้าใจผิดว่าสิ่งนี่คือความลับของคุณหนูข้า นางไม่ได้ปิดบังอะไรท่าน และนางใช้วัตถุดิบเหมือนกับท่านทุกอย่าง
ติงลุ่นเงยหน้าขึ้นและเห็นอาโม่ยิ้มให้ตนเองด้วยรอยยิ้มแฝงด้วยความหมาย เขาฉีกเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้อาโม่ “เจ้าลองดูสิ กลิ่นก็เหมือนกัน รสชาติก็ต้องเหมือนกัน!”
อาโม่ไม่ได้รับและปฏิเสธโดยตรง “ข้าไม่อยากกินมัน!”
ติงลุ่นไม่ยอมแพ้ “กลิ่นเนื้อย่างของแม่นางเหมือนกับของข้า และรสชาติของเนื้อย่างนี้ก็ต้องเหมือนกัน! เจ้าได้กินอาหารของแม่นางแล้ว เช่นนั้นก็ประเมินดูเถอะ”
เฉินเหมิ่งวางเนื้อกระต่ายครึ่งหนึ่งลงอย่างเงียบ ๆ และพูด “เหล่าติง ข้าจะประเมินมันดีหรือไม่?”
ติงลุ่นหันศีรษะกลับไป ในตอนแรกเขารู้สึกงงงวยเล็กน้อย จากนั้นเปลวไฟในตาของเขาก็ลุกโชน “เจ้าลองกินมันแล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว แม่นางแบ่งกระต่ายให้ข้าครึ่งหนึ่ง!” เฉินเหมิ่งตอบอย่างตรงไปตรงมา “เนื้อนุ่มละมุนลิ้น กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติเผ็ดกลมกล่อม ข้ายัง…”
เฉินเหมิ่งมองไปที่ใบหน้าของติงลุ่น ใบหน้าซีดเซียวฉายชัดถึงความโกรธ ก้มศีรษะและพูดต่อ “ข้าไม่เคยกินซาวเข่าที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย! มันอร่อยที่สุด”
ทันทีที่ติงลุ่นได้ยินสิ่งนี้ เขาก็โยนเนื้อกระต่ายในมือทิ้ง เตะขาของเฉินเหมิ่งจนเขาส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
“อร่อยกับผีสิ เจ้าไม่แม้แต่จะเหลือให้ข้าสักคำ!”
กู้เสี่ยวหวานที่กลับมาจากเดินเล่นเหลือบมองพวกเขาแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
กล่าวคือตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉินเหมิ่งก็ไม่กล้าติดตามติงลุ่น ความคิดในใจเสนาธิการทหารคนนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
พูดถึงเนื้อสัตว์ทุกวันจนหูของเฉินเหมิ่งแทบดับ!
ติงลุ่นอยากกินเนื้อเนื้อย่างของกู้เสี่ยวหวานและกำลังจะเสียสติ ทันทีที่ทุกคนหยุดพักผ่อน เขามักจะเข้าไปในป่าทึบพร้อมกับคันธนู เพียงแต่ว่าคราวนี้โชคไม่ดี เขาไม่เจอสัตว์ป่าเลยสักตัว
สิ่งนี้มันทำให้เขาเสียสติ!
ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ ชีวิตก็ไม่น่าสนใจ!
หลังจากเดินทางมานานกว่าสิบวัน ขณะที่ติงลุ่นกำลังจะสิ้นหวังจากการกินอาหารแห้ง หมู่บ้านหนึ่งปรากฏขึ้น หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ถ้าติงลุ่นไม่ได้ออกมาไกลขนาดนี้ พวกเขาก็คงพลาดหมู่บ้านนี้ไป
ติงลุ่นกลับมาด้วยความตื่นเต้น “แม่นาง ที่นี่มีหมู่บ้าน!”
ประจวบเหมาะกับเสบียงของพวกเขาใกล้จะหมดแล้ว ตอนนี้เมื่อเจอหมู่บ้าน เราอาจจะแลกอาหารมาได้ไม่น้อย
กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจเดินทางต่อทันที
เมื่อทุกคนมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขายังอยู่บนหลังม้าและบนรถม้า พวกเขาก็เห็นชาวบ้านบางคนนั่งพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อเห็นม้าตัวสูงเดินเข้า ชาวบ้านเหล่านั้นที่ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนจึงรีบซ่อนตัวด้วยความตกใจ หมู่บ้านที่เมื่อครู่ยังคงครึกครื้น ทันใดนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าคนเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ราวกับว่ากำลังพบโรคระบาด และสามารถเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
“แม่นาง ชาวบ้านหนีหายไปหมดแล้ว เราจะทำอย่างไร?” เฉินเหมิ่งติดตามถานเย่สิงในการทำสงครามมาหลายปี แต่เขาไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน คนเหล่านี้ซ่อนตัวจากศัตรูอย่างชัดเจน พวกเขากำลังหวาดกลัวอะไรอยู่?
พวกเขาไม่ได้ถือดาบด้วยซ้ำ!
ติงลุ่นขมวดคิ้ว “ข้าเกรงว่าคงมีคนที่คล้ายพวกเราเคยมาที่หมู่บ้านนี้มาก่อน แต่แม่นางดูสิ แม้ว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้กลัวเราเท่าไร ท่านเห็นไหม พวกเขายังคงซ่อนตัวอยู่ และแอบมองเราจากทางหน้าต่าง! ช่างแปลกเสียจริง!”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ใช่แล้ว!
เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?