ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1800 ที่พักพิงของคนที่น่าสงสาร
บทที่ 1800 ที่พักพิงของคนที่น่าสงสาร
“แต่รู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?” เฉินเหมิ่งถาม
“ผู้ใดจะไปรู้กัน!” ชายชรานั้นถอนหายใจ “หลังจากที่พวกข้าช่วยนางไว้ นางก็เป็นบ้าทั้งวันเอาแต่พูดจาบ้า ๆ บอ ๆ ในฤดูร้อนก็ยังสวมเสื้อผ้าหนาเตอะห่อตัวเองจนแน่น ขอเพียงแค่มีบุรุษเข้าใกล้นาง นางก็จะกรีดร้อง แม่นางผู้นั้นคาดเดาว่าก่อนหน้านี้ก็คงจะ….”
ชายชรามีสีหน้าเสียดาย “ดูแล้วเป็นหญิงสาวที่ดีมากคนหนึ่ง อายุยังน้อย หน้าตาก็ดี… โธ่ น่าเสียดาย! เฮ้อ… แต่ว่า….” ชายชราเปลี่ยนเรื่องพูดต่อว่า “ผู้ใดจะไม่น่าสงสารกัน! หญิงสาวที่หนีภัยมาในที่ของข้านี้ล้วนเป็นคนที่เคยประสบความยากลำบากกันทั้งนั้น เจ้ามองว่าพวกนางไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ก็จะคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเอง! โชคดีที่แม้ว่าคนที่นี้จะมีชีวิตยากลำบาก แต่ว่าพวกเขาก็ใจดีช่วยเหลือซึ่งกันและกันและยังปลอดภัยไร้กังวล!”
กู้เสี่ยวหวานมองคนเหล่านั้นอย่างตกตะลึงไม่หยุด
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะยังมีสถานที่เช่นนี้อยู่
เพื่อให้คนที่น่าสงสารเหล่านั้นได้พักพิง ได้มีที่อาศัยอันอบอุ่นและสร้างความอบอุ่นให้แก่กัน
คนเหล่านี้ถูกข่มเหงรังแกในบ้านเกิดของตัวเองและไม่มีผู้ใดปกป้อง อย่างไรก็ตามสถานที่เช่นนี้ก็ยังคงไม่มีผู้ใดปกป้องคุ้มครอง แต่ว่ากลุ่มพวกเขากลับพึ่งพาอาศัยกันและสร้างความอบอุ่นให้กัน
เฉินเหมิ่งมองดูภาพตรงหน้านี้อย่างตกตะลึง เขาไม่เคยมาที่นี่เลย แม้จะรู้ว่ามีหุบเขานี้อยู่ที่นี่ แต่เนื่องจากว่าที่นี่ยากที่จะเข้าไป ข้างในเต็มไปด้วยงูพิษและสัตว์ร้ายและยังมีควันพิษปกคลุม คนธรรมดาทั่วไปสามารถเข้ามาได้ที่ไหนกัน
ไม่คาดคิดว่าคราวนี้จะถูกติงลุ่นจับพลัดจับพลูเดินเข้ามา ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าอะไร!
แต่ว่าหุบเขาลูกนี้เป็นหุบเขาแห่งความสำนึกผิดจริง ๆ หรือ?
หุบเขาแห่งความสำนึกผิดที่ถูกสาปแช่งในตำนานนั้น การครอบครองมันจะทำลายราชวงศ์และทำลายล้างแผ่นดิน?
เพียงแค่เอ่ยชื่อหุบเขาลูกนี้ เฉินเหมิ่งก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว
เพียงเพราะถูกสาปแช่ง ดังนั้นทุกราชวงศ์จึงไม่มีราชวงศ์ใดยินดีรวมหุบเขานี้เข้าในแผ่นดิน หุบเขาลูกนี้จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ชัดเจนและไม่มีผู้ใดสนใจ!
แต่ว่า….
ขณะที่เฉินเหมิ่งกำลังอยากจะถามอะไรอยู่ ก็ได้ยินติงลุ่นตะโกนว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่แลกเปลี่ยนแล้ว ข้าไม่มีเงินแล้ว! ฮ่าฮ่า….”
เมื่อกลุ่มคนที่ล้อมรอบอยู่ได้ยินก็วิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกทันที ความเร็วนั้นเรียกได้ว่ารวดเร็วมาก ติงลุ่นจึงยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน
กู้เสี่ยวหวานรอจนเห็นคนแล้ว จึงมองด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา
เฉินเหมิ่งชี้ไปที่ติงลุ่นพลางตะโกนเสียงดัง “เหล่าติง เจ้ากำลังทำอะไร? เจ้า….”
เห็นเพียงบนร่างกายของติงลุ่น บนมือ บนคอ มีกระต่ายและไก่ที่ขนปุกปุยห้อยแขวนไว้อยู่ทั่วทุกที่ ขนปุกปุยนั้นห้อยแขวนอยู่เต็มตัวเขา ยังมองเห็นเขาอยู่เสียที่ไหนกัน นึกว่าฝูงไก่และกระต่ายนั้นกลายเป็นคนไปแล้วเสียอีก!
อาจั่วและโค่วตันทนไม่ได้จึงหัวเราะพรืดออกมา กู้เสี่ยวหวานเห็นภาพตลกนี้ก็หัวเราะขึ้นมาด้วย
โดยไม่ทันตั้งตัว ชายชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางนั้น สายตาก็คอยมองบนตัวนางตลอดเวลา!
“แม่นาง เจ้ามาจากที่ใดเล่า?” ทันใดนั้นชายชราก็ถามเบา ๆ ด้วยเสียงที่มีเพียงทั้งสองคนได้ยินเท่านั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่าเหมือนเสียงที่พังทลายได้ง่าย
กู้เสี่ยวหวานได้ยินจึงหันหน้ามา ก็เห็นดวงตาที่ขุ่นมัวของชายชราดูเหมือนกับว่าจะมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างในโลก และยังมีการตรวจสอบอีกด้วย!
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเห็นผู้ใดมองตัวเองด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน เหมือนกับว่ามองทะลุเข้ามาภายในใจของตัวเอง แม้แต่ตอนที่อาจารย์ฮุ่ยหย่วนมองนางเมื่อตอนนั้น นางก็ยังไม่เคยตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อน นางฉีกยิ้มพยายามปกปิดความตื่นตระหนกภายในใจ “ท่านผู้เฒ่า ข้า….ข้าเป็นคนต้าชิง!”
“งั้นรึ? คนต้าชิงรึ?” ชายชราคนนั้นยิ้มอย่างเลือนลาง ดวงตาที่ขุ่นมัวเห็นได้ชัดว่าไม่ควรมีอะไรลึกลับ แต่ว่าหลังจากเหลือบมองคนแวบหนึ่งแล้ว ราวกับว่าถูกสายตาเขาดูดลงไปในห้วงลึกอย่างไรอย่างนั้น “แม่นางกลับดูไม่เหมือนคนต้าชิงเลย!”
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกหัวใจบีบรัด คิดอยากจะถามอะไรบางอย่างก็เห็นว่าชายชราคนนั้นยกเท้าเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว!
ร่างกายที่ผอมแห้งอ่อนแอจนหลังค่อมและมีผมขาวเป็นสีดอกเลาเดินเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว
ส่วนในตอนนี้ เฉินเหมิ่งคว้าติงลุ่นกลับ เดินไปพลางก่นว่าไปด้วย “เจ้าบอกมาสิว่า เจ้าซื้อไก่กับกระต่ายเยอะแยะขนาดนี้ทำไมกัน?”
“กินระหว่างทางน่ะสิ!” ติงลุ่นตะโกนตอบ
“กินระหว่างทาง? เจ้าจะรีบออกเดินทางหรือว่าจะมัวเล่นเป็นเด็ก?” อาโม่ย้อนคืนคำที่ติงลุ่นเคยพูดให้เขาและพูดอย่างเย็นชา
ติงลุ่นรู้ว่าอาโม่กำลังเหน็บแนมเขาจึงไม่โกรธ เขย่ากระต่ายและไก่ที่ห้อยอยู่เต็มตัวพูดว่า “หนทางยังอีกยาวไกล ไม่สามารถกินเสบียงอาหารได้ทุกวัน! มีกระต่ายกับไก่นี้แล้วก็สามารถปรุงอาหารได้อีกหน่อยใช่หรือไม่?”
พูดจบก็มองกู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้าประจบสอพลอ “แม่นาง ถึงเวลากินอาหารกลางวันแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราหาที่พักกินอาหารกลางวันสักหน่อยแล้วค่อยไปกันเถอะ!”
เมื่อถูกติงลุ่นพูดเช่นนี้ทุกคนก็เริ่มหิวกันขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อครู่ติงลุ่นพาพวกเขาเข้าไปในหุบเขา เพื่อเร่งเวลาแล้วทุกคนจึงยังไม่ได้กินอะไรเลย
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ตกลง พักกันสักครู่ค่อยไปเถอะ!”
ดวงตาของติงลุ่นสว่างขึ้น “แม่นาง ข้าจะไปฆ่าไก่ ท่านรอข้า รอข้านะ!”
พูดจบก็ไม่สนใจว่าเฉินเหมิ่งจะเต็มใจหรือไม่ เอาไก่กับกระต่ายทั้งหมดแขวนไว้บนร่างกายของเฉินเหมิ่งในรวดเดียว ไก่และกระต่ายพวกนั้นได้รับความตกใจจึงพากระโดดและกระพือปีก จนขนนั้นปลิวว่อนไปทั่วตัวเฉินเหมิ่ง
ส่วนติงลุ่นนั้นก็ถือไก่กับกระต่ายวิ่งไปไกลแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางเขาเหมือนผีที่หิวโหย กู้เสี่ยวหวานก็ทำอะไรไม่ถูก
คนผู้นี้คิดอยากกินเนื้อย่างมาหลายวันแล้ว คราวนี้ซื้อไก่กับกระต่ายมาตั้งมากมาย เกรงว่าจะต้องกินจนอิ่มแปล้แน่!
อาโม่หยิบฟืนขึ้นมาและเพิ่งจะจุดไฟ ทางด้านติงลุ่นนั้นก็วิ่งเข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่าติงลุ่นทำอย่างไร กระต่ายกับไก่นี้จึงถูกทำความสะอาดและพร้อมที่จะย่างบนตะแกรงแล้ว
“แม่นาง ทำความสะอาดแล้ว เริ่มกันเลยเถอะ” ติงลุ่นวางไก่กับกระต่ายบนตะแกรง วิ่งไปตรงหน้ากู้เสี่ยวหวานอย่างประจบและยิ้มอย่างกระตือรือร้น
อาโม่กำลังกินเสบียงอาหารอยู่ก็ถากถางว่า “ไม่ใช่เจ้าบอกว่าจะย่างเองหรอกรึ? เครื่องปรุงข้าก็ย้ายลงมาให้แล้ว เจ้าก็ย่างเองสิ!”
ติงลุ่นไม่สนใจอาโม่ ในมือถือไก่และกระต่ายมองกู้เสี่ยวหวานตาปริบ ๆ เหมือนหนอนที่น่าสงสารกำลังรอกินอาหารมื้อใหญ่ แต่กลับทนรอไม่ไหว
“เหล่าติง อย่าเสียมารยาท!” เฉินเหมิ่งเห็นว่าติงลุ่นต้องการให้กู้เสี่ยวหวานช่วยเขาย่างเนื้อจริงๆ ใบหน้าก็จมลงด้วยคำว่า ‘ฉ่า’