ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1809 ความบังเอิญ
บทที่ 1809 ความบังเอิญ
หากคำพูดที่แม่สื่อพูดเป็นความจริง ต้นไม้แก่ก็สามารถแตกหน่อได้
หากเป็นหญิงสาวทั่ว ๆ ไปที่ได้ฟังคำพูดที่ชวนประทับใจเช่นนี้ ก็คงอดไม่ได้ที่อยากพบอยากเห็น คุณชายสามของตระกูลขุนนางที่มีทั้งความหล่อเลาและมีความสามารถ
เพียงแต่หากแม่สื่อผู้นี้ไปพูดกับคนอื่น บางทีคนอื่นอาจจะใจเต้นขึ้นมา แต่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร…
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะ นางหันไปส่งสายตาให้อาจั่วก็เห็นนางยัดถุงเงินให้แม่สื่อผู้นั้นพร้อมพูดว่า “แม่สื่อ จวิ้นจู่ของข้าอายุยังน้อย ยังไม่สนใจเรื่องการแต่งงานครั้งนี้!”
“อายุยังน้อย ไม่น้อยแล้ว ไม่น้อยแล้ว จวิ้นจู่ท่านอายุสิบเจ็ดแล้ว ตอนข้าอายุเท่าเจ้า ลูกก็อายุสามสี่ขวบแล้ว!” เมื่อสื่อได้ฟังที่กู้เสี่ยวหวานใช้อายุมาเป็นข้ออ้าง จึงโวยวายขึ้นมาทันทีว่า “แม่นาง อายุของท่านในตอนนี้กำลังดี!”
อาจั่วที่ได้ฟังคำพูดนี้ก็มีสีเคร่งขรึมขึ้น
นางคือสะใภ้ของนายท่าน ตนจะปล่อยให้คนอื่นเข้ามายุ่งวุ่นวายง่าย ๆ ได้อย่างไร การให้คนคนนี้เข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง อีกทั้งยังเข้ามาสร้างความวุ่ยวายอีก
แม้ว่านางจะรู้ว่าคุณหนูจะต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน แต่การที่มีแม่สื่อมาสู่ขอนี่มัน…
ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูนายท่าน หัวของพวกเขาสองสามหัวคงไม่พอให้ระบายความไม่พอใจ!
“แม่สื่อฮัว ข้าอายุยังน้อยและก็ไม่รีบเรื่องนี้ ท่านกลับไปก่อนเถอะ!” กู้เสี่ยวหวานไม่ยอมพูด แม่สื่อผู้นี้เข้ามาพูดเรื่องสู่ขอเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่มีผลอะไร และนางก็ไม่อยากทำให้ใครเสียเวลา
“จวิ้นจู่ อย่าเลย! หากท่านคิดว่ายังเร็วเกินไป เช่นนั้นหมั้นไว้ก่อนก็ได้ ผ่านไปสักปีสองปีค่อยแต่งก็ยังไม่สาย!” แม่สื่อฮัวยังคงไม่ยอมแพ้
แต่อาจั่วที่อยู่ตรงนั้นทั้งดึงทั้งลากแม่สื่อคนนั้นตรงไปที่ประตู แม่สื่อที่มีท่าทีเคร่งขรึมผู้นั้นยังคงไม่ยอมแพ้ พลางตะโกนโหวกเหวกโวยวาย “จวิ้นจู่ การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานที่ดี ถ้าพลาดโอกาสนี้ก็ไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้แล้ว คุณชายสามของตระกูลนี้เป็นคนดี… ข้า…”
แม่สื่อฮัวผู้นั้นพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงของนางก็เงียบลงราวกับมีใครมาปิดปากไว้
เมื่อสถานการณ์กลับสู่ความสงบอีกครั้ง เมื่อนึกถึงแม่สื่อที่สวมชุดสีแดงคนนั้นที่มาสู่ขอคน ก็ทำให้นางยิ้มเจื่อนออกมา
ถานอวี้ซูที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยหยอกล้อและพูดจาเย้าหยอก “ท่านพี่ ตอนนี้ท่านเป็นคนที่มีชื่อเสียงเคียงข้างฮ่องเต้และไทเฮา ทั้งยังเป็นอันผิงจวิ้นจู่ คลื่นลูกนี้ข้ากลัวว่าหลังจากนี้….”
“หลังจากนี้มีอะไร?” กู้เสี่ยวหวานรีบถาม
“กลัวว่าธรณีประตูสวนชิงนี้คงจะถูกคนทำลายซะแล้ว!” ถานอวี้ซูพูดด้วยรอยยิ้ม
กู้เสี่ยวหวานมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคือง “พูดอะไรของเจ้า ธรณีประตูถูกเหยียบจนผุพัง แล้วใครจะช่วยข้าซ่อม!”
ก็ไม่แปลกที่ถานอวี้ซูจะพูดเช่นนี้ ธรณีประตูของสวนชิงช่วงครึ่งเดือนหลังมานี้คาดว่าจะถูกคนเหยีบจนผุพังแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปว่ามีแม่สื่อฮัวมาเป็นตัวแทนสู่ขอกู้เสี่ยวหวานแต่งงานให้คุณชายสามของตระกูล แต่นางไม่ตอบรับ
พอมีคนเริ่มเป็นคนแรกคนอื่น ๆ ก็เร่งรุดตามมาเพราะกลัวว่าจะไม่ทันการ ทุกวันมีแม่สื่อมาเยือนเรือนชิงหยวนอย่างไม่ขาดสาย อย่างน้อยที่สุดคือหนึ่งคนต่อวัน มากสุดคือสามคนต่อวัน
ไม่ใช่ลูกตระกูลขุนางก็เป็นลูกของตระกูลแม่ทัพ พูดง่าย ๆ คือลูกคนโตของตระกูลกู้ในสวนชิงนี้ ตอนนี้มีคนมาสู่ขอมากมาย
ตอนนี้ชื่อเสียงของกู้เสี่ยวหวานเป็นที่เลื่องลือ ใครก็ตามที่พูดถึงกู้เสี่ยวหวานของตระกูลกู้ ใครละจะไม่ยกนิ้วให้ด้วยความอิจฉา
หลังจากนั้นคนที่มาพูดเรื่องสู่ขอ นอกจากแม่สื่อแล้วก็ยังมีขันที และเพื่อต้องการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญและใส่ใจจึงเชิญหญิงสาวที่ดูมีความน่านับถือเพื่อเป็นคนมาสู่ขอ แต่ก็ถูกกู้ฟางสี่และกู้เสี่ยวหวานใช้ข้ออ้างเรื่องอายุที่ยังน้อยของนางให้กลับไป
ช่วงนี้ อันผิงจวิ้นจู่ถูกแม่สื่อหลายสิบคนมาคุยเรื่องการแต่งงาน แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ตอบตกลงกับใครทั้งนั้น ทำให้ใจของใครต่อใครราวกับมีเชือกมามัดอยู่
วันนี้เป็นวันที่สดใสของฤดูใบไม้ผลิ กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูนัดหมายเพื่อไปกินหม้อไฟที่ร้านฝูจิ่น แต่แล้วก็บังเอิญเจอกับคนกลุ่มหนึ่ง
ถานอวี้ซูมองเห็นจากทางด้านหลัง และพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ท่านพี่ ไม่รู้ว่ากู้ซินเถาผู้นี้มีโชคอะไร ทุกวันนี้ยังพัวพันอยู่กับลูกสาวอนุสองคนของตระกูลฟาง!”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินดังนั้นนางจึงรีบเปิดม่านของรถม้าเพื่อมองไปรอบ ๆ แน่นอนว่าเห็นกู้ซินเถาที่สวมชุดผ้าไหมงดงาม ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต และเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในชุดสีเขียวอยู่ข้างหลังนาง เมื่อดูท่าทางแล้ว ดูเหมือนจะเป็นลูกคุณหนูของตระกูลร่ำรวย เดิมตามมาท่ามกลางผู้คนและกอดกันเดินเข้าไปในร้านฝูจิ่น
“เอ๊ะ คนที่อยู่ข้าง ๆ นางคนนั้นมองแล้วไม่ค่อยคุ้นตา เหมือนกับไม่เคยเห็นมาก่อน!” ถานอวี้ซูถาม
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมอง แล้วพูดว่า “นั่นคือหลิวจวี หลานสาวของกวงลู่ซือซ่าวชิง——หลิวซืออี๋!”
กู้เสี่ยวหวานกลับรู้สึกแปลก ๆ ครั้งที่แล้วตอนที่หลิวเสวี่ยมาต้อนรับนางที่นี่ พวกเขาไม่ได้บอกว่าส่งหลิวซืออี๋กลับไปที่บ้านเกิดของนางแล้วหรือ ทั้งยังบอกว่านางจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเมืองหลวงตลอดไป
อย่างไรกัน พึ่งจะผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว
กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มเยือกเย็นในใจ กู้ซินเถาผู้นี้ยังอยู่กับหลิวซืออี๋นางจึงกลัวว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นอีก
เสี่ยวเซิ่งจื่อเก็บห้องรับรองที่ดีที่สุดและเงียบสงบที่สุดไว้ให้กู้เสี่ยวหวาน ทุกคนไม่ได้ยึดถือว่าเป็นนายหรือเป็นคนรับใช้ และรับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข
หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จึงลงไปด้านล่าง
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ตอนที่ออกมา ก็เห็นว่ามีสองสามคนออกมาจากห้องรับรองอีกฝั่ง แค่ได้ยินเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ย กู้เสี่ยวหวานก็ไม่จำเป็นต้องหันไปมอง คนผู้นั้นจะเป็นใครไปได้นอกจากกู้ซินเถา
“เอ๊ะ นั่นคืออันผิงจวิ้นจู่ใช่หรือไม่” กู้ซินเถาเห็นกู้เสี่ยวหวาน ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อครู่พลันเปลี่ยนไป นางรีบเดินเข้ามาหากู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้าประหม่า “ซินเถาทักทายอันผิงจวิ้นจู่ ทักทายฮู้กั๋วจวิ้นจู่”
การทักทายที่นอบน้อมจนเกินไปเช่นนี้ การปรนนิบัติของคนตรงหน้าราวกับนางไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของกู้เสี่ยวหวาน แต่เหมือนเป็นฮ่องเต้ที่กำลังจะเอาชีวิตนาง
เมื่ออีกสามคนข้างหลังเห็นกู้เสี่ยวหวานกับถานอวี้ซูก็รีบเข้ามาแสดงความเคารพ