ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1810 จวิ้นจู่ที่รังเกียจคนจนชอบคนรวย
บทที่ 1810 จวิ้นจู่ที่รังเกียจคนจนชอบคนรวย
หลังจากฟางจู๋อวิ๋นลุกขึ้นก็ทำเสียงไม่พอใจและพูดอย่างเหยียดหยาม “ซินเถา เจ้าก็จริง ๆ เลย คนที่เจ้าน้อมเคารพก็ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงมารยาทงามเช่นนี้! ”
ญาติผู้พี่ปฏิบัติต่อญาติผู้น้องอย่างมีมารยาท หากพูดออกไปทุกคนจะคิดอย่างไร ดูท่าทางที่เกรงกลัวของกู้ซินเถาเช่นนั้น ราวกับว่าเผชิญหน้ากับพญามารที่ต้องการคร่าชีวิตคน
เมื่อเห็นเช่นนี้หลิวซืออี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยปาก “หึ แม้อันผิงจวิ้นจู่จะเป็นญาติผู้น้องของกู้ซินเถา แต่นางก็ยังเป็นถึงอันผิงจวิ้นจู่ระดับสอง!”
สีหน้าท่าทางที่ประจบประแจงของหลิวซืออี๋ผู้นี้ยามไปที่ไปสวนชิงครั้งก่อน ก็กลายเป็นเหมือนคนละคนในชั่วพริบตา
หากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ยามอยู่ในสวนชิง กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีกับนาง และนางในตอนนี้ก็ไม่ประจบตนแน่นอน
เกรงว่านี่คงเป็นใบหน้าที่แท้จริงของหลิวซืออี๋
กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มจาง แต่ไม่พูดอะไร เมื่อถานอวี้ซูที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนี้และกำลังจะเอ่ยปาก กู้เสี่ยวหวานจับมือนางไว้ไม่ให้นางพูดอะไรมาก
แน่นอนว่าเมื่อเห็นท่าทางเคารพนอบน้อมของกู้ซินเถา สีหน้าก็เปลี่ยนทันทีและพูดด้วยความชื่นชม “ตอนนี้น้องสาวข้าเป็นอันผิงจวิ้นจู่ที่สูงศักดิ์ นี่คือความภาคภูมิใจของตระกูลกู้ ไม่เพียงแค่ตระกูลกู้ของพวกเรา ทั้งในหมู่บ้านอู๋ซี ในเมืองหลิวเจีย เมืองรุ่ยเสียนของพวกเรา เมื่อใดก็ตามที่เอ่ยถึงน้องสาวข้า ทุกคนก็จะต้องเอ่ยยกย่อง”
กู้ซินเถาดีขนาดนี้ ทั้งยังชื่นชมตนเองในที่สาธารณะอีก
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วและรอให้กู้ซินเถาพูดต่อ
ฟางจู๋อวิ๋นที่ได้ยินก็พูดขึ้น “หมู่บ้านอู๋ซี? เมืองหลิวเจีย? เมืองรุ่ยเสียน? หึ…แน่นอนว่าผู้ที่มาจากชนบทยังไงก็คือผู้ที่มาจากชนบท”
“น้องจู๋อวิ๋น เจ้าอย่าว่าอันผิงจวิ้นจู่เช่นนี้ ตอนนี้นางเป็นอันผิงจวิ้นจู่แล้ว ฐานะสูงศักดิ์ไม่เหมือนอดีตที่ผ่านมา” เมื่อกู้ซินเถาเห็นฟางจู๋อวิ๋นพูดเช่นนี้ จึงรีบอธิบายขึ้น ดูท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าร้องขอความเป็นธรรมให้กู้เสี่ยวหวาน “ตอนนี้นางเป็นคนมีอำนาจในเมืองหลวงแล้ว ธรณีประตูคงจะถูกเหยียบย้ำจนผุพัง…”
ท่าทางกู้ซินเถาเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าคนผู้นี้ย่อมมีเจตนาที่ไม่ดี
“ทุกท่านยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้ว ข้าขอตัวก่อน!” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
นางไม่มีเวลามานั่งฟังกู้ซินเถาพูดเรื่องไร้สาระที่นี่
หลังจากนั้น นางและถานอวี้ซูเตรียมเดินจากไป แต่ก็ได้ยินกู้ซินเถาตะโกนมาจากด้านหลัง “น้องสาว พี่สาวมาอยู่เมืองหลวงนานขนาดนี้ เหตุใด…ไม่เคยได้พบพี่ใหญ่ฉิน เลยพี่ใหญ่ฉินไปที่ใดหรือ”
ฝีเท้ากู้เสี่ยวหวานหยุดชะงัก
เมื่อคนรอบข้างได้ยินชื่อพี่ใหญ่ฉินก็หันไปถามกู้ซินเถาด้วยความสงสัยทันที “พี่ซินเถา พี่ใหญ่ฉินผู้นี้คือใครกัน”
“ใช่สิ คนผู้นี้เกี่ยวข้องอะไรกับอันผิงจวิ้นจู่หรือ?”
คนเหล่านั้นที่อยู่ล้อมรอบถามกู้ซินเถาอย่างสงสัย สีหน้าที่ดูตื่นเต้นเช่นนั้น ราวกับว่าได้ยินเรื่องซุบซิบอะไรกันมา
ดวงตากลมโตคู่นั้นของกู้ซินเถาเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานอย่างภาคภูมิใจ
“พี่ใหญ่ฉิน เขาเป็นขอทานคนหนึ่งที่น้องสาวเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อน” กู้ซินเถาเอ่ยปากพูดขึ้นเบา ๆ
กู้เสี่ยวหวานยิ้มเยาะในใจที่แท้สงครามของกู้ซินเถาผู้นี้อยู่ตรงนี้นี่เอง
จากนั้นก็ได้ยินกู้ซินเถาพูดต่อ “ต่อมาพี่ใหญ่ฉินผู้นั้นก็อาศัยอยู่ในบ้านและกลายเป็นบ่าวรับใช้ในบ้านน้องสาวข้าต่อจากนั้น เขา…เขากับ…”
“เขาอะไรหรือพี่ซินเถา เจ้ามีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ อย่ามัวอ้ำอึ้ง! ท่านทำให้ข้าร้อนรนจะตายแล้ว”
ฟางจู๋อวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ เห็นกู้ซินเถามองไปมองมาที่กู้เสี่ยวหวาน ในใจก็เดาว่าต้องเกิดเรื่องแน่ ดังนั้นหัวใจนางยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ จึงรีบไปดึงมือกู้ซินเถาให้รีบพูดออกมา
กู้ซินเถากลืนน้ำลาย
ไม่แม้แต่จะเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานและพูดต่อ “ต่อมา ความรักระหว่างชายหญิงได้ก่อตัวขึ้นภายใต้ชายคาเดียวกัน กลายเป็นเรื่องราวที่ดีไปทั่วเมือง!”
“อะไรนะ? ท่านบอกว่า…มีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้นกับอันผิงจวิ้นจู่กับขอทานคนหนึ่ง?” ฟางหลานซินตะโกนขึ้นอย่างไม่เชื่อ ราวกับว่ากลัวคนอื่นไม่รู้
ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่บริเวณบันไดชั้นสองของร้านจิ่นฝู ในบรรดาคนเหล่านี้มีอันผิงจวิ้นจู่ที่ไม่มีใครเทียบได้ มีฮู้กั๋วจวิ้นจู่ และยังมีลูกอนุอีกสองคนที่งดงามราวกับดอกไม้และเป็นที่โปรดปรานของฟางเจิ้งสิง ยืนอยู่บนสุดของบันไดและเป็นที่น่าดึงดูดสนใจของผู้คนทันที
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังบริเวณบันได แน่นอนว่าสิ่งที่ฟางหลานซินตะเบ็งเสียงเมื่อครู่ ไม่ว่าคนที่อยู่ใกล้หรือไกลก็ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
“เป็นไปได้อย่างไร” หลิวซืออี๋ก็ตะโกนขึ้นและมองกู้เสี่ยวหวานอย่างเหลือเชื่อ
กู้เสี่ยวหวานยกมือขึ้นกอดอกและมองคนเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม จะโต้แย้งอย่างไร?
พวกนางไม่ได้พูดผิด ตอนแรกที่ฉินเย่จือมาบ้านพวกเขา นางพูดจริง ๆ ว่าฉินเย่จือมาขอทานที่บ้านพวกเขา
เพียงแต่หลังจากได้ยินตอนนี้ กู้เสี่ยวหวานก็เข้าใจว่ากู้ซินเถาต้องการจะทำสิ่งใด
แน่นอนว่าเห็นกู้ซินเถาพูดต่อ “พวกเจ้าพูดผิดแล้ว ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ฉินเป็นขอทาน แต่ว่าพวกเราตระกูลกู้ก็ไม่ใช่คนที่มีฐานะอะไร พวกเราเป็นเพียงสาวชาวบ้านในหมู่บ้านชนบท ซักผ้า ทำอาหาร ตักน้ำและผ่าฟืน เจ้าว่าหากมีคนวัยหนุ่มคนหนึ่งที่มีความสามารถมาที่บ้าน ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงเลือกเขาเช่นเดียวเหมือนน้องสาว!”
“ถูกต้อง อันผิงจวิ้นจู่เป็นลูกสาวคนโตของบ้าน ตอนนั้นอายุก็ยังน้อย เพื่อที่จะดูแลน้องชายและน้องสาว ย่อมเกิดความรู้สึกกับบ่าวรับใช้ในบ้าน มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง” เมื่อได้ยินอย่างชัดเจน ฟางหลานซินก็สรุปขึ้น
กู้ซินเถาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ถูกต้อง เมื่อก่อนน้องสาวข้าใช้ชีวิตอย่างลำบาก
กินไม่อิ่ม สวมไม่อุ่น ไหนเลยจะเหมือนเช่นตอนนี้ สวมเสื้อผ้าอาภรณ์และอยู่ดีกินดี
ช่วงเวลาที่ลำบากในตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ฉิน เกรงว่าน้องสาวคงอยู่รอดอย่างยากลำบากมากจริง ๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เมื่อกู้เสี่ยวอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เดิมทีนางคิดว่าเมื่อกี้ที่กู้ซินเถาพูดเป็นความจริง แต่เมื่อฟังตั้งแต่ต้นจนจบนางก็เพิ่งเข้าใจว่า กู้ซินเถาผู้นี้เหมือนกำลังพูดความจริงอย่างชัดเจน แต่เบื้องหลังความหมายนั้นกำลังใส่ร้ายพี่สาวของนาง อาศัยความสัมพันธ์ของบ่าวรับใช้ในบ้านที่มีความสามารถ หลอกใช้เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
กู้เสี่ยวอี้โกรธมาก เตรียมพุ่งไปข้างหน้าเพื่อโต้เถียงกับกู้ซินเถา แต่กู้เสี่ยวหวานดึงนางไว้ไม่ให้นางหุนหันพลันแล่น
กู้ซินเถาเห็นว่าสีหน้าซีดเซียวของฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่มีใครสักคนกล้าโต้แย้งนาง ก็หมายความว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง
ในอดีตกู้เสี่ยวหวานมีชีวิตที่ดีเพราะขูดรีดบ่าวรับใช้ในบ้าน แต่ตอนนี้บ่าวรับใช้คนนั้นละ…
“เช่นนั้นตอนนี้ พี่ใหญ่ฉินคนนั้นไปไหนแล้ว เหตุใดไม่เคยเห็นคนผู้นี้อยู่ข้างกายอันผิงจวิ้นจู่เลย” หลิวซืออี๋มองไปมองมาท่ามกลางผู้คนรอบข้างกู้เสี่ยวหวานและถามขึ้นอย่างสงสัย “ซินเถา พี่ใหญ่ฉินคนนั้นอยู่ที่นี่หรือไม่”
กู้ซินเถาเหลือบสายตาไปมองและส่ายหัว “ไม่เคยเห็นเลย ข้ามาอาศัยอยู่ในสวนชิงสักพักแล้ว แต่ก็ไม่เคยพบพี่ใหญ่ฉินมาก่อนเลย”
แน่นอนว่าไม่เคยเห็นมาก่อน
ลานที่กู้ซินเถาพักอยู่กับลานที่กู้เสี่ยวหวานพักอยู่ไกลกันมาก อีกทั้งฉินเย่จือกลับมาแค่ตอนกลางคืน กู้ซินเถาจะไปเห็นฉินเย่จือได้อย่างไร
มันเรื่องปกติของกู้เสี่ยวหวาน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องปกติของกู้ซินเถา
ตอนนางอาศัยอยู่ที่สวนชิง รู้สึกแค่ว่าในสวนชิงเหมือนขาดไปคนหนึ่ง แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนถึงวันนี้ มีบางคนมาเหยียบย่ำธรณีประตูแล้ว กู้ซินเถาถึงคิดออกว่าคนผู้นั้นคือใคร
หลังจากที่ฉินเย่จือมาถึงเมืองหลวง นางก็ไม่เคยเห็นคนผู้นี้อีกเลย
ต่อมา นางก็พูดอย่างเลี่ยง ๆ ถามคนแล้วคนเล่าแต่ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
ว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากคนรอบข้างกู้เสี่ยวหวานมาก่อน
เรื่องนี้พิสูจน์สิ่งใดได้?
ไม่แน่ว่าฉินเย่จือผู้นี้อาจถูกกู้เสี่ยวหวานขับไล่ออกไปแล้ว
ฟางหลานซินขมวดคิ้วถาม “ไม่รู้ว่าบ่าวคนนั้นโตมาเป็นเช่นไรบ้าง”
กู้ซินเถาได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหัว มองกู้เสี่ยวหวาน และถามอย่างเขินอาย “อย่างไรก็เป็นเพียงขอทานเท่านั้น เจ้าว่าจะโตมาเป็นเช่นไรล่ะ”
นี่หมายความว่า พี่ใหญ่ฉินคนนั้นน่าเกลียดมากสิ
“หากเขาไม่อยู่ที่นี่ไม่อยู่ที่สวนชิง เช่นนั้นจะไปอยู่ที่ไหนได้” ฟางจู๋อวิ๋นได้ยินก็พูดขึ้น “ตอนนี้นางเป็นอันผิงจวิ้นจู่ อีกทั้งยังมีคนมากมายมาสู่ขอ ทุกคนล้วนเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์มีฐานะ จึงรังเกียจพี่ใหญ่ฉินที่ฐานะไม่ดี หน้าตาไม่ดีแล้วละมั้ง”
กู้เสี่ยวหวานมีสีหน้าถมึงทึง
เมื่อฟางจู๋อวิ๋นพูดเช่นนี้ หลิวซืออี๋ก็คล้อยตามไปด้วย “ครั้งก่อนที่ข้าไปเยี่ยมอันผิงจวิ้นจู่ที่สวนชิงก็ไม่เห็นชายแปลกหน้าผู้นั้น ดูเหมือนเรื่องนั้นจะเป็นความจริง พอเป็นจวิ้นจู่แล้วก็รังเกียจคนข้างกาย”
“รังเกียจคนจนชอบคนรวยเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นอันผิงจวิ้นจู่ อีกทั้งยังมีคนมากมายมาขอแต่งงาน แล้วจะไปชอบขอทานคนนั้นได้อย่างไร” ฟางหลานซินทำเสียงไม่พอใจและมองกู้เสี่ยวหวานอย่างดูถูก
เมื่ออาจั่ว อาโม่ และโค่วตันได้ยินคำพูดของคนคนนี้ พวกเขาก็เบิกตากว้าง
พวกนางรังเกียจนายท่าน…โตมาอัปลักษณ์?
โตมาอัปลักษณ์?