ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1812 ต้องตั้งชื่อให้คนในใจ
บทที่ 1812 ต้องตั้งชื่อให้คนในใจ
ถานอวี้ซูกับกู้เสี่ยวอี้เห็นพี่สาวไม่พูดโต้แย้งอะไรเพียงเพื่อจะขัดขวางคนพวกนั้น
ถึงแม้จะรู้สึกว่ามันมากเกินไป แต่ความรักระหว่างท่านพี่กับพี่ใหญ่ฉินก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าไม่ดีทั้งหมด มันก็ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ!
ถึงอย่างไรท่านพี่ก็ไม่ใช่คนแบบนั้น!
เพียงแต่…กู้เสี่ยวหวานยกชาดื่มหนึ่งอึกคิ้วเรียวบางขมวดมุ่น ก่อนวางถ้วยชาลงด้วยท่าทางที่สง่างาม และพูดขึ้นอย่างอึมครึม “ข้ารู้สึกว่ามันแปลก ๆ เหตุใดกู้ซินเถาถึงมั่นใจว่าข้าจะไปที่ร้านจิ่นฝู และดูเหมือนจะวางแผนไว้แล้ว”
พูดไม่ทันขาดคำ ทุกคนบนรถก็ตกตะลึง
หลังจากกู้ซินเถาและสองพี่น้องตระกูลฟางเหน็บแนมกู้เสี่ยวหวาน สองพี่น้องตระกูลฟางกับหลิวซืออี๋ก็จากไป แต่กู้ซินเถายังไม่ได้ไปไหน แต่กลับไปที่ห้องรับรองอีกครั้ง เป็นตอนนั้นเองที่นางเห็นหญิงคนหนึ่งในห้องที่สวมเสื้อผ้าคุณภาพดียืนหันหลังอยู่บริเวณตรงหน้าต่าง
“จวิ้นจู่ผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว” เมื่อกู้ซินเถาเห็นคนเหล่านั้นขึ้นรถม้าไป จึงรีบเข้าไปพูดอย่างประจบประแจง
หญิงสาวผู้นั้นหันกลับมา น้ำเสียงฉอเลาะอ่อนหวาน ใบหน้าถูกแต่งแต้มงดงาม หากไม่ใช่หมิงตูจวิ้นจู่แล้วจะเป็นใครกัน!
ซูหมิ่นหันกลับมาคิ้วเรียงตัวสวยดูดุร้าย และส่งรอยยิ้มที่มืดมนมา “ดูเหมือนกู้เสี่ยวหวานผู้นี้จะมีความสัมพันธ์กับผู้อี่นก่อนจะมาถึงเมืองหลวง”
“สิ่งที่จวิ้นจู่พูดจริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ หกเจ็ดปีก่อนกู้เสี่ยวหวานได้ช่วยขอทานคนหนึ่งไว้ ต่อมาขอทานคนนั้นย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลกู้ จากนั้นเป็นต้นมากู้เสี่ยวหวานก็โชคดีไม่หยุด อย่างแรกคือหาเงินก่อน ต่อมาก็มีชื่อเสียง ตอนนี้ก็กลายเป็นจวิ้นจู่มีเกียรติยศ โดดเด่น มั่งคั่งรุ่งเรือง”
“หึ โดดเด่น?” ซูหมิ่นยิ้มเยาะพร้อมสายตาเหน็บแนม “เป็นแค่คางคกที่โดดขึ้นมาบนโต๊ะ แต่ดันคิดว่าตนเองเป็นคางคกที่สวยงาม คางคกยังไงก็คือคางคก สักวันข้าจะต้องดึงนางลงมา ดูสิว่ายังจะมีใครรักนางอยู่อีกหรือไม่”
“ที่จวิ้นจู่พูดเป็นความจริง จวิ้นจู่เป็นกิ่งทองใบหยก กู้เสี่ยวหวานเป็นเพียงรูปลักษณ์ที่ไร้ค่า จะกล้ามาเทียบกับจวิ้นจู่ได้อย่างไร” กู้ซินเถาโอ้อวด
เมื่อได้ยินซูหมิ่นก็พอใจมาก “เจ้าดีกว่าเมื่อเทียบกับตระกูลฟางสองคนนั้น สองคนนั้นช่างไร้ประโยชน์ แต่เจ้ากลับมีความสามารถ!”
เมื่อได้ยินซูหมิ่นชื่นชมตนเอง กู้ซินเถาก็ภาคภูมิใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามนางอยู่กับซูหมิ่นมาสักพักหนึ่งแล้ว จากที่ฐานะต่ำต้อยนางก็พลิกมาเป็นความรุ่งโรจน์แล้ว
ไม่ว่ากู้ซินเถาจะภูมิใจมากเท่าใด แต่ก็ไม่อาจประมาทได้!
ดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงและพูด “จวิ้นจู่มีพระคุณกับซินเถา ต่อจากนี้ชีวิตนี้ของข้ามีเพื่อจวิ้นจู่ ซินเถายอมบุกน้ำลุยไฟ ไม่ปฏิเสธแม้จะต้องตายเป็นหมื่น ๆ ครั้ง”
“เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี ข้าไม่ลำเอียงกับเจ้าแน่นอน” ซูหมิ่นเห็นกู้ซินเถาทำเช่นนี้ก็รู้สึกภูมิใจ “เมื่อข้าทำให้กู้เสี่ยวหวานสะดุดล้มได้ ผ้าไหมเสื้อแพร เสื้อผ้าอาภรณ์ ความมั่งคั่งรุ่งเรือง ข้ารับรองว่าเจ้าจะเพลิดเพลินกับมันได้ทั้งชีวิต”
กู้ซินเถาได้ยินก็ดีอกดีใจมากไม่รอช้า รีบโค้งคำนับขอบคุณ “ขอบคุณจวิ้นจู่ ขอบคุณจวิ้นจู่”
เมื่อนึกถึงวันนี้ที่กู้เสี่ยวหวานพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าการจัดการกู้เสี่ยวหวานนั้น ต้องใช้คนรอบตัวนางมาจัดการ
กู้ซินเถากับนางรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่นางเคยทำเคยมีทุกเรื่องในอดีต กู้ซินเถารู้ดี
คิดไม่ถึงเลยว่าจะขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตออกมาได้เช่นนี้
กู้เสี่ยวหวานเหยียบมันเอาไว้มิด เพียงแต่ถ้าหากนางคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อไล่ขอทานคนนั้นออกไป เช่นนั้นนางคิดผิดแล้วจริง ๆ
ซูหมิ่นทำเสียงไม่พอใจ หันไปพูดกับไฉ่เยว่ “ทำให้เรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องตลกและเผยแพร่ไปทุกที่ ยิ่งถูกพูดถึงมากแค่ไหนก็ยิ่งดี!”
ดีที่สุดคือให้พี่เย่จือรู้ได้ทันทีก็ยิ่งดี
เป็นแค่หญิงคนหนึ่งที่รังเกียจคนจนชอบคนรวย พอหมดความหมายก็ทิ้งขวาง เจ้าเป็นเช่นนี้จะให้พี่เย่จือชอบเจ้าได้อย่างไร
เมื่อกู้เสี่ยวหวานกลับมาถึงบ้าน กู้ฟางสี่ก็รีบเดินออกมาจากบ้าน พอเห็นกู้เสี่ยวหวานก็รีบดึงมือหลานสาวไว้ และถามด้วยท่าทางกระวนกระวาย “เจ้าออกไปครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเสี่ยวฉินจึงถูกเจ้าไล่ไป เหตุใดถึงทำลายงานหมั้น”
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว เรื่องมาไวขนาดนี้เลยหรือ?
นางเห็นดวงตากู้ฟางสี่ที่เต็มไปด้วยน้ำตา ก็รู้ว่าหากอธิบายไม่ดี ไม่แน่ว่าหยาดน้ำตานั้นจะหลั่งรินลงมา
รีบจับมือกู้ฟางสี่และหัวเราะอย่างประจบ “ท่านอา ท่านได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนกัน
เหตุใดฟังแล้วทำให้รู้สึกแปลกประหลาดนัก”
กู้ฟางสี่ท่าทางเคร่งขรึม “เจ้าตอบข้า เกิดเรื่องอะไรกันแน่ หน้าเรือนมีเด็กมากมายมาร้องเพลงเล่นอยู่ด้านหน้า ข้าใช้เวลานานกว่าจะได้ยินอย่างชัดเจน นั่น…ที่ร้องคือเพลงอะไรกัน”
กู้ฟางสี่กะพริบตา หยาดน้ำตาพลันพรั่งพรูออกมา นางตีมือกู้เสี่ยวหวานอย่างร้อนรน!
ที่เด็กกลุ่มนั้นร้องคือเพลงอะไรกัน
อะไรลูกสาวบ้านตระกูลกู้ให้คนมาสู่ขอ ไล่คนเก่าเปลี่ยนคนใหม่
เด็กขอทาน คนรับใช้บ้านกู้ ทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจเพื่อคนร่ำรวย
ตระกูลกู้มีสาวงามไม่มีความเป็นมิตร นำคนใหม่มาแทนที่คนเก่า
สงสารคนใช้ในบ้านหลอกให้รัก หลอกให้หาเงิน ลูกสาวตระกูลกู้รักเงิน
“นี่…นี่ร้องอะไร” กู้ฟางสี่ทั้งโกรธทั้งกระวนกระวาย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่สนใจของกู้เสี่ยวหวานในตอนนี้ก็ยิ่งโกรธจนสั่นไปทั้งตัว
กู้เสี่ยวอี้ได้ยินคำตลกพวกนี้ ก็ยิ่งโกรธจนตำหนิออกมา “ท่านอา เป็นกู้ซินเถา นางปรักปรำท่านพี่บอกว่าท่านพี่หลอกใช้พี่ใหญ่ฉิน ต่อมาเมื่อพี่ใหญ่ฉินหมดประโยชน์ก็ถูกเขี่ยทิ้ง”
เป็นเช่นนี้นี่เอง!
กู้ฟางสี่ตกใจ “กู้ซินเถาคนนี้บ้าไปแล้วหรือ นางพูดคำไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!”
ใบหน้านวลเนียนของกู้เสี่ยวอี้ซีดลงด้วยความโกรธ “นางพ่นคำแย่ ๆ เหล่านั้นออกมาได้อย่างไร บอกว่าท่านพี่กับพี่ใหญ่ฉินรักกัน และเพราะความจนจึงได้หมั้นหมายกัน ต่อมาพอเจริญรุ่งเรืองขึ้นก็เขี่ยพี่ใหญ่ฉินทิ้ง บอกว่าท่านพี่เป็นคนที่ได้แล้วทิ้ง”
“เหลวไหล นี่มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น” กู้ฟางสี่ได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจนแทบจะพุ่งไปหากู้ซินเถา แต่กู้เสี่ยวหวานหยุดนางไว้ “ท่านอา ท่านไม่ต้องไปแล้ว หากว่าข้าอยากโต้กลับ ข้าโต้กลับตั้งแต่อยู่ร้านจิ่นฝูแล้ว”
กู้ฟางสี่กระวนกระวาย “เจ้าเด็กโง่ เห็นอยู่ชัดเจนว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วเหตุใดเจ้าไม่โต้แย้ง เจ้าดูคนเหล่านั้นสิ พูดจนเจ้ากลายเป็นเช่นไรหมดแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและปลอบใจ “ท่านอา ท่านอย่ากังวลไปเลย เรื่องนี้พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ได้”
“เจ้าเด็กโง่ นี่มันเป็นชื่อเสียงเจ้า” กู้ฟางสี่ได้ยินกู้เสี่ยวหวานไม่สนใจเช่นนี้ก็โกรธจนแทบกระทืบเท้า “เจ้าจะให้คนทั้งเมืองหลวงคิดว่าเจ้าคนแบบไหนได้อย่างไร เดิมทีเจ้าไม่ได้เป็นคนเช่นนี้ คนพวกนี้สาดคำพูดแย่ ๆ ให้เจ้าเช่นนี้ เจ้าจะทำอย่างไร”
“ไม่ทำอย่างไร” กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มจางพร้อมลูบมือท่านอา เพื่อให้นางสงบลง “เดิมทีข้าคิดหาวิธีว่าจะปฏิเสธคนพวกนั้นได้อย่างไร ข้าลำบากมาตลอดหลายวันเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ข้ามีชื่อเสียงเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้ามาสู่ขอข้าแล้ว”
“เจ้า…เจ้าจะใช้ชื่อเสียงตนเองเพื่อปิดกั้นคนพวกนั้น?”
เมื่อกู้ฟางสี่ได้ฟังความหมายของกู้เสี่ยวหวานเช่นนั้นก็ตกใจจนพูดไม่ออก
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ข้าก็ไม่ได้จะแต่งงานกับพวกเขาแต่แรกอยู่แล้ว มีชื่อเสียงเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรไม่ดี”
“เจ้า…” กู้ฟางสี่พูดไม่ออก
“ท่านคอยดูแล้วกัน ตั้งแต่บ่ายวันนี้เป็นต้นไปก็ไม่มีใครกล้ามาสู่ขอข้าแล้ว เกรงว่าข่าวที่เคยมาสู่ขอก่อนหน้านี้ก็จะหายไปในไม่ช้า ธรณีประตูสวนชิงของข้าในที่สุดก็จะสงบลง”
สีหน้ากู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ!
ราวกับว่าภาคภูมิใจในตนเองมากที่หาวิธีปฏิเสธได้
กู้ฟางสี่พูดไม่ออก
เพียงแต่ เอาชื่อเสียงตนเองมาขัดขวางเช่นนี้ มันดีจริง ๆ หรือ
“หากเรื่องนี้ถูกแพร่ไปในวังหลวง แล้วคนในวังหลวงจะทำอย่างไร เจ้าจะทำอย่างไร” กู้ฟางสี่ยังคงกังวลเล็กน้อย
“เรื่องนี้ข้าไปอธิบายกับองค์หญิงได้ เชื่อว่านางก็คงไม่เชื่อคำพูดพวกนี้ง่าย ๆ” กู้เสี่ยวหวานพูดขึ้น
กู้ฟางสี่ได้แต่ยินยอมอย่างไม่เต็มใจ
จะทำอะไรได้ล่ะ?
เมื่อได้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้วิธีเช่นนี้มาปฏิเสธคนเหล่านั้น เธอจะทำอะไรได้อีก
หวังว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้ และไม่มีใครมาสู่ขอนางอีก และชื่อเสียงกู้เสี่ยวหวานจะไม่ได้รับผลกระทบมาก
เมื่ออาจั่วได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เหมือนวันนี้ได้รับหมูรสชาติแสนอร่อยในหม้อไฟ คุณหนูกำลังแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ให้นายท่านเห็น
การโรยอาหารสุนัข*[1] ทำให้คนไม่ทันตั้งตัว
แน่นอนว่าพวกเขาเขียนจดหมายไปให้ฉินเย่จือ หากแต่เขียนไปเพียงไม่กี่คำว่า เพื่อปกป้องนายท่านแล้ว คุณหนูปล่อยให้กู้ซินเถาและสองพี่น้องตระกูลฟางมาดูถูกเหยียดหยามตามอำเภอใจ และยังเขียนเพลงสั้น ๆ ที่ถูกแพร่ไปทั่วเมืองหลวงให้นายท่านของตนทราบ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักของคุณหนู หลังจากเขียนเสร็จจึงใช้นกพิราบส่งสารไป
ฉินเย่จือที่กำลังจัดการเอกสาร ก็เห็นนกพิราบที่ใช้ติดต่อกับอาจั่วอาโม่เป็นประจำบินมา เขาหยิบจดหมายออกมาแล้วเปิดอ่าน
เมื่อเห็นสิ่งที่เขียนไว้ก็ทั้งดีใจและเจ็บปวด อีกทั้งยังแค้นเคืองเล็กน้อย
หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ นกพิราบก็ถูกส่งกลับไปอีกครั้ง
เมื่อฉินเย่จือเห็นจดหมายในมือและเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานปล่อยให้พวกเขามาดูถูกเหยียดหยามโดยไม่ตอกกลับสักคำก็รู้สึกอบอุ่นใจมาก และแม้แต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการงานที่รัดตัวก็ลดลงไปไม่น้อยเลย
เมื่อนึกถึงนางในดวงใจ กลับไปครั้งนี้ เขาต้องตั้งชื่อให้นางแล้ว!
[1] คู่รักที่แสดงความรักในที่สาธารณะ