ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1820 จ้องนางตาไม่กะพริบ
บทที่ 1820 จ้องนางตาไม่กะพริบ
โค่วไห่ขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นใบหน้าที่จริงจังและมุ่งมั่นของซูจือเยว่ กลัวว่าหากเขาไม่ได้เจอแม่นางในวันนี้เขาจะไม่ยอมแพ้ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าตกลง “โปรดท่านรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปแจ้งคุณหนูให้เดี๋ยวนี้”
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำขอบคุณ “ขอบคุณเจ้ามาก”
โค่วไห่เข้าไปในลานของกู้เสี่ยวหวานและแจ้งเรื่องนี้แก่โค่วตัน เมื่อได้ฟังหญิงสาวก็ตกใจมาก และรีบไปรายงานเรื่องนี้กับกู้เสี่ยวหวานทันที
กู้เสี่ยวหวานกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างเฉื่อยชาอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ส่งกลิ่นหอมหวาน ร่างกายของนางถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนบางซึ่งทำให้ดูเกียจคร้านมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินรายงานของโค่วตัน กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เขามาที่นี่ทำไม”
“เขาบอกว่าต้องการพบคุณหนูให้ได้ภายในวันนี้ ไม่อย่างนั้นจะรอจนกว่าคุณหนูจะออก ๆ ไปเจอเขา” โค่วตันถ่ายทอดคำพูดของซูจือเยว่ต่อกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางก็ค่อย ๆ ปิดหนังสือที่นางกำลังอ่านลง และวางลงบนโต๊ะด้านข้าง ยกชาร้อนขึ้นจิบหนึ่งอึกแล้วพึมพำกับตัวเอง
“เขามาทำอะไรที่นี่ตอนนี้?”
ยามซูจือเยว่มองมาที่ตัวเอง กู้เสี่ยวหวานสามารถเห็นความชื่นชมในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน และเขาก็รู้ดีว่าชื่อเสียงของนางในเมืองหลวงตอนนี้เป็นอย่างไร
กู้เสี่ยวหวานวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ พลางลุกขึ้นแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ให้เขาไปที่ห้องโถงใหญ่”
หลังจากพูดจบ กู้เสี่ยวหวานก็กลับไปที่ห้องเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เพราะต้องออกไปพบแขกเพราะฉะนั้นจะออกไปสภาพนี้ไม่ได้
ในเวลาเพียงครู่เดียว อาจั่วก็พากู้เสี่ยวหวานไปที่ห้องโถงใหญ่
เมื่อซูจือเยว่ได้ยินโค่วไห่เชิญตัวเองมาที่ห้องโถงใหญ่ หัวใจของเขาก็เต้นรัว กี่ครั้งแล้วที่เขาอยากจะเข้ามาในสวนชิง แต่เขาไม่มีความกล้ามากพอ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้สมความปรารถนาแล้ว
ว่ากันว่าสวนชิงเป็นจวนที่กู้เสี่ยวหวานเช่าอาศัยเท่านั้น เนื่องจากไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้มาก่อน ดังนั้นคนนอกจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของสวนชิง
หลังจากที่ซูจือเยว่เข้ามา ก็ทำได้เพียงแค่เหลือบมอง จากนั้นก็ตามโค่วไห่ไปที่ห้องโถงใหญ่
หลังจากมาถึงห้องโถงใหญ่ โค่วไห่ก็เชิญให้เขานั่ง จากนั้นเขาก็ผละไปชงชาและยกมันออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ซูจือเยว่ไม่อยากดื่มชา ตอนนี้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้นและจ้องไปที่ประตู
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เห็นร่างของกู้เสี่ยวหวานเดินมา ถ้าไม่ใช่กู้เสี่ยวหวานแล้วจะเป็นใครล่ะ?
เขาไม่ได้เจอนางมาหลายเดือนแล้ว
แค่รู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปไม่นาน ร่างกายของนางสูงขึ้นไม่น้อย แต่ใบหน้าของนางยังคงบอบบางและมีเสน่ห์
ดวงตาที่สวยงามล้ำลึกนั้นเปล่งประกายราวกับสายน้ำสามารถดึงดูดหัวใจของคนได้
ซูจือเยว่จ้องเขม็งไปที่หญิงสาวที่ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้างดงาม และรอยยิ้มยามเดินมาเหมือนกับยาพิษที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
ราวกับเขาจะเสียสติไปแล้ว
ในขณะนี้ นอกจากผู้คนจากสวนชิงแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว ซูจือเยว่ไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ ๆ เกิดความรู้สึกกล้าขึ้นมา และเงยหน้ามองหญิงสาวคนนั้นช้า ๆ
ดูเหมือนว่าเขาอยากจะจดจำคนตรงหน้าไว้ในใจ
กู้เสี่ยวหวานก้าวอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็เห็นซูจือเยว่ยืนอยู่ที่ประตู เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นว่าดวงตาของซูจือเยว่กำลังมองตนเองด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก
กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือต่างก็แสดงความรักต่อกันในวันปกติ เมื่อทั้งสองมองหน้ากัน ก็ย่อมเข้าสายตากันและกันได้
อย่างไรก็ตาม นางไม่มีความเกี่ยวข้องกับซูจือเยว่ แต่เขามองนางด้วยความรักใคร่ กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วพลางมองไปที่ซูจือเยว่ จากนั้นจึงหมุนตัวกลับและต้องการจากไป
แต่ดูเหมือนซูจือเยว่จะไม่ได้สังเกตอะไร และมองนางอย่างโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า อาจั่วที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งโกรธมากขึ้น นางมองการแสดงออกของกู้เสี่ยวหวานจึงถามว่า “แม่นาง ให้ข้าไล่เขาออกไปดีหรือไม่”
กู้เสี่ยวหวานยังไม่หยุดเดิน เมื่อนางเห็นคนที่อยู่ตรงข้ามนาง ก็ไม่รู้ว่าทำไมความโกรธตอนนี้ลดลง นางส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่จำเป็น”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินไปที่ห้องโถงใหญ่ ขยับเข้าใกล้ซูจือเยว่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ซูจือเยว่มองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นว่านางเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของเขาดูเหมือนถูกตอกตะปู และไม่สามารถแม้แต่จะขยับเขยื้อนได้
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว เขาก็ไม่มีท่าทีจะตอบสนองดวงตาของเขาเคลื่อนไปตามการเคลื่อนไหวของกู้เสี่ยวหวาน
“นายน้อยซู นายน้อยซู” เมื่อเห็นสิ่งนี้โค่วไห่รีบตะโกนหลายครั้ง เสียงของเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ
ซูจือเยว่ยังนิ่งเงียบไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย และทำเพียงแค่มองตาของนางเท่านั้น
กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจอีกฝ่าย หญิงสาวนั่งลงบนที่นั่งด้านบนและดื่มชาอย่างใจเย็น และไม่ได้สนใจการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่วันนี้เป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ
ดังนั้น เมื่ออาจั่วบอกว่ากำลังจะไล่เขาออกไป กู้เสี่ยวหวานก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา นางจึงตัดสินใจมาหาเขา
จนกระทั่ง โค่วไห่ยืนอยู่หน้าซูจือเยว่และปิดกั้นสายตาของเขา ซูจือเยว่ก็ตระหนักว่าตนเองสูญเสียการควบคุมไป และรีบประสานมือ “ข้าขออภัย จวิ้นจู่ เมื่อครู่ข้า…”
ได้ยินมาว่าซูจือเยว่นั้นมีความรู้มาก และเขาเคยโต้เถียงกับคนหมู่มากโดยไม่ตื่นตระหนก แต่ในขณะนี้…
กู้เสี่ยวหวานดื่มชาพลางชี้ไปที่เก้าอี้แล้วพูดเสียงดังว่า “นายน้อยซู เชิญนั่งลง”
ซูจือเยว่มีความสุขมากและรีบเลือกที่นั่งที่ใกล้กับตำแหน่งของกู้เสี่ยวหวานมากที่สุด แสร้งทำเป็นดื่มชา พลางแอบชำเลืองมองกู้เสี่ยวหวานไม่หยุด “เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้พบจวิ้นจู่ ท่านผอมลงไปมาก เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน ซูจือเยว่จึงถามด้วยความเป็นห่วง
กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ นางวางถ้วยชาในมือลง โบกมือเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าสบายดี นายน้อยซูมาครั้งนี้มีอะไรงั้นหรือ หากมีเรื่องอะไรก็พูดมาเถิด”