ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1875 ถ้าช่วยก็ต้องช่วยออกมาด้วยกัน
บทที่ 1875 ถ้าช่วยก็ต้องช่วยออกมาด้วยกัน
เสิ่นเจี้ยนเซินพูดกับกู้หนิงอันว่า “นายน้อยกู้ เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?”
กู้หนิงอันรีบลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วพูดว่า “นายท่านเสิ่น ท่านพบวิธีช่วยเหลือนายน้อยเสิ่นแล้วหรือ?”
ตอนนี้ท่านพี่และนายน้อยเสิ่นถูกขังอยู่ในกองกำลังรักษาความสงบ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับทั้งสองคนบ้าง!
“ได้ยินมาว่าฮ่องเต้รับสั่งให้สอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด ตอนนี้ไม่มีใครในราชสำนักยินดีที่จะยื่นมือมาก้าวก่ายเรื่องนี้!” เสิ่นเจี้ยนเซินส่ายหน้า
“ข้าเกรงว่าแม้จะช่วยก็ไร้ประโยชน์!” กู้หนิงอันพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านแม่ทัพถานทำหนังสือถึงฮ่องเต้สองฉบับ แต่ได้ยินว่าฮ่องเต้กลับปัดเรื่องนี้ได้ ข้าเกรงว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจช่วยเรื่องนี้ได้”
แม้ว่าเสิ่นเจี้ยนเซินจะเป็นพ่อค้าผ้ารายใหญ่ และมีความคุ้นเคยกับขุนนางในราชสำนัก แต่ทุกคนล้วนมีผลประโยชน์ร่วมกัน อีกทั้งทุกคนต่างรู้เรื่องนี้กันหมด
เสิ่นเจี้ยนเซินรู้ถึงสถานะของถานเย่สิง ในราชสำนักนี้ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นเจี้ยนเซินก็รู้ว่าการไปหาคนอื่นนั้นไร้ประโยชน์
“แล้วนายน้อยกู้มีวิธีอื่นในใจหรือไม่?” เสิ่นเจี้ยนเซินเห็นการวิเคราะห์ของกู้หนิงอัน เขายังเด็กแต่ความคิดนั้นละเอียดถี่ถ้วน ดังนั้นจึงรีบถามว่า “ถ้านายน้อยมี เช่นนั้นแล้วมาหารือเรื่องนี้กันเถอะ”
กู้หนิงอันมีแผนในใจจริง ๆ
“นายท่านเสิ่น ท่านรู้หรือไม่ว่านายน้อยเสิ่นซื้อฝ้ายหยกขาวมาจากผู้ใด หากท่านรู้ว่านายน้อยเสิ่นซื้อฝ้ายหยกขาวมาจากใคร อย่างน้อยก็จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนายน้อยเสิ่นได้!”
เสิ่นเจี้ยนเซินและควางซื่อต่างมองหน้ากันและกัน ไม่นานจากนั้นก็พยักหน้า แต่ควางซื่อพลันนึกถึงบางอย่างได้ และถามทันที “แล้วอันผิงจวิ้นจู่ล่ะ? นายน้อยกู้จะช่วยนางอย่างไร? หากจะช่วยก็ควรช่วยทั้งสองคน ไม่ควรทิ้งคนใดคนหนึ่งไว้”
คำพูดของควางซื่อกระแทกลงกลางใจกู้เสี่ยวอี้ เด็กสาวมองควางซื่อด้วย ดวงตากลมโตสดใสเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ราวกับว่าได้รับความรักจากมารดาที่ไม่เคยได้รับมาก่อน หัวใจรู้สึกซาบซึ้งอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ!
ยิ่งควางซื่อมองไปที่กู้เสี่ยวอี้มากเท่าไหร่ความรักที่มีต่อเด็กสาวคนนี้ก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น นางอยากมีลูกสาวมาเสมอ แต่หลังจากให้กำเนิดเสิ่นเหวินเจวี้ยน ร่างกายของนางก็ทรุดลงและไม่สามารถมีลูกได้อีก เสิ่นเจี้ยนเซินเองก็รักนางมาก หลายปีมานี้ไม่เพียงแต่เขาจะไม่มีอนุภรรยา แม้แต่สาวใช้ข้างห้องก็ไม่เคยมี สิ่งนี้ทำให้ควางซื่อรู้สึกซาบซึ้งใจและโทษตัวเอง
นางต้องการแตกกิ่งก้านสาขาให้ตระกูลเสิ่น แต่สุดท้ายกลับทำไม่สำเร็จ นางได้ต้นกล้ามาเพียงต้นเดียวก็คือเสิ่นเหวินเจวี้ยน แต่ต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวนี้เป็นเด็กดี เชื่อฟัง มีความสามารถ มีเหตุผล และกตัญญู เขาได้ช่วยตระกูลเสิ่นมาตั้งแต่อายุยังน้อยซึ่งทำให้บิดามารดาอย่างพวกเขารู้สึกภาคภูมิใจ
หลายปีมานี้ สิ่งเดียวที่พวกเขากังวลคือการแต่งงานของเสิ่นเหวินเจวี้ยน!
ครั้นเห็นกู้เสี่ยวอี้เรียกตนเองว่าฮูหยินเสิ่น หัวใจของควางซื่อก็ตื่นตระหนก รีบจับมือกู้เสี่ยวอี้พลางพูดแผ่วเบา “เสี่ยวอี้ หลังจากนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่าฮูหยินเสิ่นแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ เรียกข้าว่าท่านป้าเสิ่นเถอะ!”
ป้าเสิ่น?
เราเพิ่งพบกันครั้งแรกก็เรียกอย่างสนิทสนมเช่นนี้มันจะเป็นการดีเรอะ
กู้เสี่ยวอี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ควางซื่อดูเหมือนไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ นางชี้ไปที่เสิ่นเจี้ยนเซินแล้วพูดว่า “เจ้าเรียกเขาว่าท่านลุงเสิ่นก็ได้! อย่าเรียกว่านายท่านเสิ่นหรือฮูหยินเสิ่นเลย มันดูห่างเหินเกินไป”
กู้เสี่ยวอี้ไม่รู้ว่าเสิ่นเจี้ยนเซินและฮูหยินของเขาหมายถึงอะไร แม้แต่กู้หนิงอันก็ไม่สามารถเข้าใจได้
พวกเขาไม่อยากคิดว่าคนอื่นเป็นคนไม่ดี แต่พวกเขามีภูมิหลังมาจากชนบท และรู้ไม่เท่าทันอุบายเหล่านี้ และตอนนี้พวกเขาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
กู้หนิงอันไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงพูดว่า “หากนายท่านรู้จักคนที่ขายฝ้ายหยกขาวให้กับนายน้อยเสิ่น และสามารถหาคนคนนั้นได้ ข้ามั่นใจว่าเขาคนนี้จะเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่านายน้อยเสิ่นเป็นผู้บริสุทธิ์!”
ทุกวันเสิ่นเจี้ยนเซินยุ่งหัวหมุนกับการหาคนมาช่วยเสิ่นเหวินเจวี้ยน ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะต้องตามหาคนขายฝ้ายหยกขาว โชคดีที่เสิ่นเหวินเจวี้ยนเคยบอกว่าซื้อฝ้ายหยกขาวมาจากใคร ดังนั้นเรื่องการตามหาคนคงไม่ใช่เรื่องยากนัก
เมื่อกู้หนิงอันและกู้เสี่ยวอี้ออกจากจวนตระกูลเสิ่น สองสามีภรรยาเสิ่นไปส่งพวกเขาที่ประตูด้วยตัวเอง และยืนกรานว่าจะให้รถม้าไปส่งเขาที่จวน จนกู้หนิงอันบอกอีกฝ่ายว่าตนเองนำรถม้ามาด้วย และเมื่อเห็นรถม้าของอีกฝ่าย เสิ่นเจี้ยนเซินและภรรยาก็ยอมแพ้ และเฝ้าดูพวกเขาขึ้นรถม้า เฝ้ามองอีกฝ่ายจนหายลับไปจากสายตา
“ดูสิ เกรงว่าวันนี้เจ้าคงจะทำให้เด็กคนนั้นกลัว!” เสิ่นเจี้ยนเซินมองไปที่ควางซื่อซึ่งกำลังชะเง้อคอมองไม่หยุด และหัวเราะอย่างติดตลก “ดูท่าทางตื่นตระหนกของเด็กคนนั้นสิ ข้าเกรงว่าข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!”
ควางซื่อเบนสายตากลับมา เมื่อรถม้าหายลับไปจากสายตาแล้วก็ถอนหายใจ “เด็กคนนั้น ยามพบเจอนางครั้งแรก ข้าก็รู้สึกมีความสุขมาก! พลันเกิดความคิดอยากทะนุถนอมนาง รักนาง ข้าจะไปทำให้นางกลัวได้อย่างไร
“ใช่แล้ว เหวินเจวี้ยนมีตาที่ดี เด็กคนนี้ใจดีและมารยาทงาม อีกทั้งยังเป็นเด็กดี! เมื่อมองดูนางแล้ว มันทำให้ข้านึกถึงครั้งแรกที่ข้าพบเจ้าเมื่อยี่สิบปีก่อน!” เสิ่นเจี้ยนเซินดูเหมือนจะมีความสุข เขาจูงมือควางซื่อเดินเข้าประตูแล้วพูดอย่างเสน่หา “ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าไปบ้านของเจ้า เจ้าก็เป็นแบบนี้ เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังท่านแม่และมองมาที่ข้าอย่างระมัดระวัง ดวงตาไร้เดียงสาราวกับลูกกวางแรกล่อลวงข้า! ตอนนั้นข้าคิดว่าต้องแต่งงานกับเจ้า และจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต!”
ดูเหมือนว่าควางซื่อจะคุ้ยชินกับการถ้อยคำหวานเลี่ยนของเสิ่นเจี้ยนเซินมานานแล้ว นางควงแขนของสามี พลางเอนศีรษะพิงไหล่ของอีกฝ่ายและพูดอย่างมีความสุข “ใช่ เป็นเวลายี่สิบปีแล้ว ชั่วพริบตาลูกชายของเราก็ถึงวัยแต่งงานแล้ว!”
เสิ่นเจี้ยนเซินจับมือควางซื่อ และพูดอย่างหนักแน่นว่า “ตอนนี้ข้าจะไปเมืองหลิน และข้าต้องพาคนคนนั้นกลับมา และคืนความบริสุทธิ์ให้พวกเขา!”
ควางซื่อพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม สองสามีภรรยาจับมือกันแน่น
กู้หนิงอันนั่งอยู่ในรถม้ามองไปที่เสิ่นเจี้ยนเซินและภรรยาที่ยังคงยืนอยู่ที่ประตูผ่านม่านด้านหลังรถม้า และขมวดคิ้วเล็กน้อย
เสิ่นเจี้ยนเซินและภรรยาของเขากระตือรือร้นเกินไป เขาจะไม่เข้าใจสิ่งนี้ได้อย่างไร