ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1911 คำตำหนิของกู้ฟางสี่
บทที่ 1911 คำตำหนิของกู้ฟางสี่
กู้เสี่ยวอี้และเสิ่นเหวินเจวี้ยนออกจากห้องโถงพิจารณาคดีของศาลาว่าการด้วยใบหน้าตื่นเต้น
เสิ่นเจี้ยนเซินและควางซื่อกำลังรอพวกเขาอยู่หน้าประตู ครั้นเห็นพวกเขาออกมาอย่างมีความสุข ก็สามารถเดาได้ว่าเรื่องของอันผิงจวิ้นจู่ครั้งนี้คงได้รับการคลี่คลายแล้ว จึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
ควางซื่อไม่แม้แต่สนใจมองลูกชายตนเอง หญิงวัยกลางคนตรงปรี่คว้ามือกู้เสี่ยวอี้ เอ่ยอย่างโล่งใจ “ดียิ่งนัก ดีเหลือเกินที่พี่สาวของเจ้าไม่เป็นอะไร!”
เสิ่นเหวินเจวี้ยนยืนยิ้มไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างพลางมองไปที่กู้เสี่ยวอี้ แววตาคู่นั้นอ่อนโยนมิอาจมีสิ่งใดเปรียบ
หลังจากที่ถานอวี้ซูออกจากห้องโถงพิจารณาคดีของศาลาว่าการ ถานเย่สิงจับจ้องใบหน้าซีดของหลานสาว พลางคิดว่านางกำลังเป็นทุกข์เรื่องของอาชิง จึงได้แต่ปลอบโยน “อวี้ซู คนประเภทนี้ละทิ้งคุณธรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เจ้าไม่ควรจมปักอยู่กับเรื่องนี้ โชคดีที่เราพบตัวผู้อยู่เบื้องหลังแล้ว อนาคตยังต้องจับตาดูกันต่อไป!”
“ข้ารู้แล้ว~ ขอบคุณท่านปู่ที่ช่วยพี่เสี่ยวหวานของข้า”
“เจ้าเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของข้า จะขอบคุณกันไปเพื่อกระไร ว่ากันตามเหตุผลข้ายังไม่ได้ขอบคุณอันผิงจวิ้นจู่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งก่อนเลย!” ถานเย่สิงพูด “กลับจวนกันเถอะ ปู่ต้องไปวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รายงานว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในวันนี้ ซูหมิ่นผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายลักลอบเข้ามาในจวนของข้า ไร้เหตุผลสิ้นดี เข้าวังคราวนี้ ข้าทวงขอความยุติธรรมให้กับเจ้าและอันผิงจวิ้นจู่!”
หลังจากส่งถานเย่สิงไปแล้ว เฉินเหมิ่งและติงลุ่นพาถานอวี้ซูตรงกลับจวนทันที
ถานอวี้ซูยังไม่ต้องการกลับบ้าน จึงขอให้ทั้งสองไปส่งนางที่สวนชิง
ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวานกำลังนอนพักผ่อนอยู่ในสวนชิง โดยมีหมอหลวงมาตรวจร่างกายให้นางแล้ว เขาบอกว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานางมีอาการเครียดเล็กน้อย และนั่นไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง จากนั้นสั่งยาและกลับไป
ฉินเย่จืออยู่เคียงข้างกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลา เฝ้าอยู่ข้างกายไม่ห่างแม้แต่พริบตาเดียว
กู้เสี่ยวหวานจับมือฉินเย่จือไว้แน่น สัมผัสที่มือทำให้เขาไม่กล้าออกห่าง คอยป้อนยา และกล่อมให้นางหลับสนิท!
กู้ฟางสี่กำลังทำโจ๊กไก่ฉีกอยู่ในครัว ครั้นเห็นรูปร่างผอมซูบของกู้เสี่ยวหวาน พาลคิดถึงยากลำบากที่หลานสาวตนเองได้รับ หยาดน้ำตาพลันหลั่งรินออกมา
นางขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดก็พบว่าตนเองไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เมื่อเห็นว่าโจ๊กถูกต้มจนเสร็จแล้ว จึงยกโจ๊กไปให้หลานสาว
เมื่อเห็นฉินเย่จือมองไปที่กู้เสี่ยวหวานโดยตาไม่กะพริบนางก็รู้สึกโกรธขึ้นมา!
นางกระแทกถาดลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ โดยไม่ได้ตั้งใจ!
เมื่อฉินเย่จือได้ยินเสียงนี้ ชายหนุ่มไม่มีท่าทางว่าจะตอบสนองเลยแม้แต่น้อย สายตาเอาแต่จับจ้องกู้เสี่ยวหวานที่อยู่บนเตียงด้วยความรักใคร่
กู้ฟางสี่มองใบหน้าที่ซีดและผอมซูบของกู้เสี่ยวหวานอย่างรู้สึกเป็นทุกข์ ปรับน้ำเสียงลง และพูดด้วยความโกรธ “เสี่ยวฉิน ข้าไม่ชอบเจ้าจริง ๆ! เสี่ยวหวานพบเจอความทุกข์มากมาย แต่เจ้ากลับไปมุดหัวอยู่ที่ไหน เจ้าลองตรึกตรองดู ยามนางทุกข์ใจ เจ้าหายหัวไปอยู่ที่ไหนมา ไม่โผล่หน้ากลับบ้านหลายวัน ทิ้งให้นางแบกรับเรื่องนี้อยู่คนเดียว! แม้แต่ตอนถูกซินเถาใส่ร้ายนาง…ก็ไม่แม้แต่จะแก้ตัว และยังบอกว่าถ้าคนอื่นคิดแบบนั้นก็ปล่อยให้คิดไป เพราะไม่อยากให้เจ้ากังวล! เจ้าดูนางสิ นางทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า แต่แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าทำอะไรให้นางบ้าง?”
ฉินเย่จือยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา ใบหน้าของเขานิ่งสงบ
กู้ฟางสี่กล่าวต่อ “ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นคนดีและชอบเสี่ยวหวาน อีกทั้งเจ้ายังเติบโตมาพร้อมกับนางในฐานะคนรักในวัยเด็กและได้ช่วยชีวิตนางไว้ ข้าเห็นว่าเจ้าปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่เวลาอยู่ในเมืองหลวงล่ะ? เจ้าเคยให้ความสำคัญกับนางบ้างไหม? เวลานางลำบาก เจ้าเคยอยู่เคียงข้างนางไหม? เวลานางอารมณ์ไม่ดี เจ้าเคยอยู่เคียงข้างนางไหม? ข้าบอกนางไปแล้ว แต่นางบอกว่าเจ้ามีเรื่องของตัวเองที่ต้องทำ ข้าจึงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่คราวนี้เสี่ยวหวานต้องถูกขังอยู่คนเดียวในคุก ยามทุกคนพยายามหาทางช่วยนาง เจ้าหายไปอยู่ไหนมา เจ้ารักนางจริงหรือเปล่า? ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา หากในใจเจ้ามีคนอื่นอยู่แล้ว โปรดปล่อยเสี่ยวหวานไปเถอะ!”
กู้ฟางสี่เองก็สะเทือนใจกับคำพูดของตนเองไม่น้อย น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไปก็หลั่งรินลงมาอีกครั้ง นางทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้และร้องไห้ออกมา ในขณะที่มองไปที่ชามโจ๊กไก่ฉีกตรงหน้า
สิ้นประโยคของกู้ฟางสี่ ฉินเย่จือก็พูดไม่ออกชั่วขณะ
หลังจากที่กู้ฟางสี่ระบายความโกรธในใจเสร็จแล้ว นางก็รู้สึกว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปนั้นค่อนข้างจริงจังเกินไป!
เสี่ยวหวานยังไม่พูดอะไรเลย แต่นางกับมาสร้างเรื่องเนี่ยนะ?
กล่าวคือเมื่อนางเห็นเสี่ยวหวานทุกข์ทรมานมาก ไม่มีใครให้คุยหรือพึ่งพาได้ก็อดรู้สึกว่าเสี่ยวหวานไม่มีค่าพอในหัวใจของเขา!
กู้ฟางสี่ไม่ได้ฟังคำพูดของฉินเย่จือ รีบเช็ดน้ำตาและลุกขึ้นยืนหันหลังให้ฉินเย่จือทันที ก่อนจะสะอื้นไห้และพูดว่า “เสี่ยวฉิน ข้าพูดเพราะเห็นว่าเสี่ยวหวานยังไม่ตื่น ถ้านางรู้ นางจะต้องตำหนิข้าอย่างแน่นอน! อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เสียใจเลยที่พูดคำเหล่านี้ เสี่ยวหวานเป็นเด็กดี ถ้าเจ้าไม่ดูแลนาง ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน! นางเป็นเด็กดี หากเจ้าปฏิบัติต่อนางไม่ดี ข้าเชื่อว่าต้องมีผู้ชายคนอื่นในโลกนี้ที่จะปฏิบัติกับนางเหมือนสมบัติล้ำค่า!”
หลังจากกู้ฟางสี่พูดจบ นางก็เตรียมตัวเดินจากไป แต่ฉินเย่จือซึ่งนิ่งเงียบตลอดเวลา คราวนี้กลับเปิดปากเอ่ยขึ้น “ท่านอา เดี๋ยวก่อน…”
หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ กู้ฟางสี่ก็หยุดชะงัก หากแต่ไม่ได้หันกลับมา
เสียงของฉินเย่จือบางเบา ราวกับว่าเขากลัวรบกวนการพักผ่อนของกู้เสี่ยวหวาน “ไม่ต้องกังวล ตลอดชีวิตของข้านี้ ข้าจะรักแต่หวานเอ๋อร์เท่านั้น รักแค่นางเพียงคนเดียว! สิ่งที่ท่านพูดในวันนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก! เย่จือขอบคุณที่ท่านอามาเตือนสติ!”
กู้ฟางสี่เหมือนจะไม่พูดสิ่งใดออกมา นางถอนหายใจและเปิดประตูเดินออกไป เหลือแต่ชามโจ๊กไก่ฉีกที่วางอยู่บนโต๊ะ
แต่ฉินเย่จือยังคงมองไปที่กู้เสี่ยวหวานโดยไม่กะพริบตา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรัก!
หวานเอ๋อร์ ข้าขอโทษ!
เมื่อถานอวี้ซูมาถึงสวนชิง นางรีบเข้ามาหากู้เสี่ยวหวานทันที แต่กู้ฟางสี่บอกว่ากู้เสี่ยวหวานยังไม่ฟื้น ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนการพักผ่อนของอีกฝ่าย จากนั้นจึงไปหาอาอวี้แทน
ในช่วงพักฟื้นในสวนชิง ร่างกายของอาอวี้เกือบจะฟื้นตัวสมบูรณ์แล้ว และไม่มีสาวใช้คอยอยู่เคียงข้างถานอวี้ซู แต่นางก็ไม่รีบร้อนที่จะให้อาอวี้กลับไป!
“ตอนนี้ท่านพี่ป่วย ดังนั้นเจ้าต้องอยู่ในสวนชิงและดูแลนางให้ดี!” ถานอวี้ซูกล่าว
อาอวี้รีบพยักหน้าเห็นด้วย!