ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1978 ทำเหมือนนางเป็นคนในครอบครัว
บทที่ 1978 ทำเหมือนนางเป็นคนในครอบครัว
ทางด้านนางนี้ฟางเจิ้งสิงก็ไม่สามารถยื่นมือออกมาได้ อย่างไรเสียตัวเองก็เป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลฟาง และก็ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกด้วย ตราบใดที่นางยังไม่แต่งงาน ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!
แต่ว่าฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นนั้นแตกต่างกัน นั่นเป็นบุตรสาวทั้งสองที่ตัวเขารักใคร่เอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก และฝากฝังความหวังเอาไว้สูง ตอนนี้รู้ว่ามีโอกาสได้ถูกรับคัดเลือกเป็นนางสนมในวังหลวง ฟางเจิ้งสิงจะพลาดโอกาสอันดีทั้งสองนี้ในการประจบเชื้อพระวงศ์ไปได้อย่างไรกัน!
“เจ้าไปบอกกับแม่นมว่าน ให้นางเปิดเผยเรื่องการคัดเลือกนี้ออกไปโดยไม่ตั้งใจให้หวงหรูซื่อรู้!” ฟางเพ่ยหยาพูดอย่างเย็นชาเล็กน้อย
เสี่ยวเยว่ไม่เข้าใจ “คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดจึงต้องบอกให้นางรู้ หากนางรู้ว่าตระกูลฟางมีโอกาสที่จะได้ประจบฝ่าบาท ก็จะต้องยิ่งทุ่มเทสั่งสอนอย่างมุมานะแน่นอนเจ้าค่ะ! จะให้พวกนางเข้าวังไปทำกันไมกัน ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องโดนกดขี่ประทุษร้ายไปอีกกี่คน!”
ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นฟางหลานซินหรือฟางจู๋อวิ๋นเข้าไปในวังหลวง สำหรับตระกูลฟางแล้วก็ล้วนเป็นเรื่องที่ดีงามมาก!
ฟางเพ่ยหยาได้ฟังคำพูดของเสี่ยวเยว่แล้วยิ้ม “เจ้าวางใจได้ ถ้าหากหวงหรูซื่อรู้เข้าแล้ว พวกนางทั้งสองไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีโอกาสได้เข้าวัง!”
“เพราะอะไรกันเจ้าคะ? เหตุใดคุณหนูจึงมั่นใจมากเช่นนี้ ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นหน้าตางดงามตามหลิวเนี่ยนโหรว จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเข้าไปในวังหลวงไม่ได้กัน?”
“ถ้าหากหวงหรูซื่อรู้เรื่องข้อกำหนดที่คัดเลือกนางในในครั้งนี้ เกรงว่านางจะโกรธจนเสียสติ!” ฟางเพ่ยหยายิ้มแล้วพูดว่า “นางรอมาตั้งหลายปีแล้ว จนเพิ่งจะตัดสินใจแต่งงานไป ในวังหลวงก็เริ่มมีการคัดเลือกนางใน ในช่วงระยะเวลาก็เพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น เจ้าว่าหลายปีที่นางรอคอยมา แต่ว่าระยะเวลาครึ่งปีนี้ที่นางไม่รอ เจ้าว่านางจะไม่เสียสติหรือ! นางเข้าวังไม่ได้แล้วจะยังมองคนข้างกายเข้าวังไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน? เกรงว่าจะต้องทำลายโอกาสที่สองคนนี้จะเข้าวังหลวงแล้ว!”
เสี่ยวเยว่จึงคิดได้ทันที “ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการ!”
เมื่อเห็นเสี่ยวเยว่จากไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นฟางเพ่ยหยาก็ประหม่าขึ้นมาทันที รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจเต้นตึกตักอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันจะกระโดดออกมาจากอกอย่างไรอย่างนั้น
ในหัวของนางปรากฏร่างที่ชัดเจนขึ้นมาทันที
รูปร่างหน้าตาดี นิสัยสุภาพเรียบร้อย มีความรู้ความสามารถ บุรุษเช่นนี้โดดเด่นในหมู่คน ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาคิดอะไรกันแน่!
ฟางเพ่ยหยาไม่รอนาน จึงรีบไปที่สวนชิงทันที
กู้เสี่ยวหวานเห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ฟางเพ่ยหยาก็มา ในใจจึงค่อนข้างแปลกใจ แต่กลับไม่ได้ถามอะไรมาก
“เจ้ามาพอดีเลย ถานอวี้ซูเองก็อยู่พอดี ตั้งใจว่าจะทานข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยไป เจ้าเองก็มาทานด้วยกันเถอะ!” กู้เสี่ยวหวานกำลังฝึกคัดอักษร แล้วต้อนรับฟางเพ่ยหยาด้วยรอยยิ้ม
ฟางเพ่ยหยามองซ้ายมองขวา แต่กลับไม่เห็นร่างของถานอวี้ซู ขอเพียงแค่เห็นกู้เสี่ยวหวานก็จะสามารถเห็นถานอวี้ซูอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว วันนี้กลับแปลกที่นางอยู่ แต่กลับไม่ได้อยู่ข้างกู้เสี่ยวหวานแล้วจะไปที่ใดได้!
เมื่อเห็นฟางเพ่ยหยามองไปรอบ ๆ ก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยกมือขึ้นชี้ไปทางห้องครัวแล้วพูดว่า “อวี้ซูกำลังอยู่ในห้องครัว! หลายวันมานี้นางกำลังเรียนทำอาหารกับท่านอา เย็นนี้เจ้ามีลาภปากแล้ว!”
พอฟางเพ่ยหยาได้ยินก็เหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ “พี่สาว ท่านอย่าชมอวี้ซูเลย อาหารที่นางทำนั้นช่างน่าสังเวชจนทนดูไม่ได้ ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง จะกล้าเอาเข้าใส่ปากเสียที่ไหนกัน!”
นี่กลับหมายถึงถานอวี้ซูเมื่อก่อนแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าก็ลองไปดูสิ ฝีมือการทำอาหารของนางก้าวหน้ามาก! จะต้องทำให้เจ้าตกตะลึงแน่นอน!”
ฟางเพ่ยหยาวางชาลงและกระตือรืออยากไปดู “เช่นนั้น ข้าเองก็อยากไปดูที่ห้องครัวด้วย!”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ไปกันเถอะ ถ้าหากอยากเรียน ก็มาเรียนไปพร้อมกันเลย!”
ท่าทางของกู้เสี่ยวหวาน ไม่ได้ทำให้ฟางเพ่ยหยารู้สึกว่าถูกเมินเฉยเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกตื่นเต้นมีความสุข “ได้เจ้าค่ะ!”
ช่วงนี้อยู่ใกล้ชิดกู้เสี่ยวหวานมานาน นางกลับพบว่าในใจกู้เสี่ยวหวานสนิทสนมกับผู้ใด นิสัยนั้นก็จะยิ่งสบายเป็นกันเองมากขึ้น เวลาพูดหรือทำอะไรก็เหมือนว่าเป็นญาติพี่น้องของตัวเอง ไม่มีมาดเยอะและก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากมาย
ถ้าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไป ท่าทีและนิสัยก็จะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางจะให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มาก การแสดงออกและการเคลื่อนไหวนิสัยจะสงบนิ่งมาก จนทำให้คนไม่สามารถหาข้อผิดพลาดใดได้ แต่ก็กลับทำให้คนรู้สึกว่าห่างเหินนัก!
ตรงกันข้ามกับท่าทางนิสัยที่สบายเป็นกันเองจนไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติต่อคนที่ใกล้ชิดที่สุด!
เมื่อตอนนั้นที่นางเพิ่งรู้จักกับกู้เสี่ยวหวานเป็นครั้งแรก กู้เสี่ยวหวานก็ปฏิบัติต่อถานอวี้ซูเช่นนี้ นิสัยสบายเป็นกันเองมาก ตรงกันข้ามกลับปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ เวลาพูดอะไรทำอะไรก็สุภาพมาก!
ตอนนั้นนางรู้สึกแปลกประหลาดนัก คิดว่าท่าทางของอันผิงจวิ้นจู่เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อมาจึงพบว่าคนผู้นี้ปฏิบัติต่อคนใกล้ชิดเสมือนกับเป็นญาติพี่น้อง ยิ่งสนิทสนมนิสัยก็ยิ่งเป็นกันเอง ยิ่งไม่สนิทก็ยิ่งสุภาพมีมารยาท
ตอนนี้เห็นกู้เสี่ยวหวานปฏิบัติต่อตัวเองด้วยนิสัยง่าย ๆ สบาย ๆ เช่นนี้ ในใจฟางเพ่ยหยาก็รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานถือว่าตัวเองเป็นเหมือนคนในครอบครัวแล้ว!
จังหวะการก้าวเท้าของนางจึงว่องไวเล็กน้อย ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งมีความสุขและหวังไม่หยุดว่า ถ้าหากได้กลายมาเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ จะดีแค่ไหนกัน!
ห้องครัวมาอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะที่ดังอยู่ข้างในทำให้ใบหน้าของฟางเพ่ยหยามีความสุขตามไปด้วย
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่สงบนิ่งและอ่อนโยนอันคุ้นเคยปะปนอยู่ข้างใน ใบหน้าของฟางเพ่ยหยาจึงแดงขึ้นทันที!
เขาเองก็อยู่ข้างในด้วย!
เดิมทีนางตั้งใจว่าจะรอเขากลับมา ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้และตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องครัวด้วย
ฝีเท้าของฟางเพ่ยหยาหยุดชะงักลง มีความหวังบางอย่างแต่ก็กลัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไรกันแน่!
ดูหน้าดูหลังคิดก่อนคิดหลังแล้ว ฟางเพ่ยหยาก็แอบกัดฟันตัดสินใจเสี่ยงดู!
เมื่อเข้าไปในห้องครัวก็เห็นกู้หนิงอันถูกปิดตานั่งอยู่หน้าโต๊ะ บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหาร ถานอวี้ซูและกู้เสี่ยวอี้ก็นั่งล้อมรอบอยู่ข้าง ๆ กำลังรอให้กู้หนิงอันแสดงความคิดเห็นด้วยความคาดหวัง
ทันทีที่นางเข้าประตูก็เห็นมือเรียวยาวของกู้หนิงอันกำลังคีบตะเกียบ แสงอาทิตย์ตกกระทบส่องบนร่างกายเขาผ่านทางขอบหน้าต่าง ราวกับเคลือบแสงสีเหลืองทองให้เขาจนทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา!
“อาหารจานนี้ใส่เกลือมากไปหน่อย! อาหารจานนี้ต้มนานเกินไปจึงเละเล็กน้อย ตามหลักแล้วอาหารจานนี้ควรจะกรอบสดชื่นถึงจะอร่อยถูกปาก!” แม้ว่ากู้หนิงอันจะถูกปิดตาแล้ววางจานสองจานเอาไว้ตรงหน้า ถานอวี้ซูและกู้เสี่ยวอี้เหมือนจะจับกู้หนิงอันลิ้มลองอาหาร และวางของใส่ลงในจานเขาไม่หยุด