ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1979 ความประทับใจต่อกัน
บทที่ 1979 ความประทับใจต่อกัน
ท่าทางที่มีความสุขและสบายใจเช่นนั้น ทำให้ฟางเพ่ยหยาอดไม่ได้ที่จะชะงักฝีเท้า ความมั่นคงในโลกนี้คือการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าจนกระทั่งร้อยปีต่อมา จะฝังลึกอยู่ในใจของนางจนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้!
กู้เสี่ยวอี้แกล้งใส่พริกสีแดงสดชิ้นหนึ่งลงในจานของกู้หนิงอัน
พริกชนิดนั้นเผ็ดอย่างมาก ก็เห็นถานอวี้ซูยิ้มให้กู้เสี่ยวอี้อย่างชอบใจ ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ส่งเสียงเลย กู้หนิงอันจึงไม่สงสัยและคีบเอาพริกชิ้นนั้นเข้าไปในปาก
ฟางเพ่ยหยาคิดจะส่งเสียงห้ามแต่ว่าก็ไม่ทันแล้ว เห็นแต่กู้หนิงอันคีบขึ้นมาใส่ในปากและกัด
พริกชนิดนั้นเผ็ดร้อนมากและยังกัดเข้าไปอย่างแรงอีก น้ำพริกนั้นจึงแผ่ซ่านไปทั่วในปากทันที จนไม่มีตรงไหนที่ไม่รู้สึกเผ็ด
กู้หนิงอันหน้าแดงด้วยความเผ็ดและแดงจนกระทั่งถึงติ่งหู
เมื่อเห็นกู้หนิงอันใบหน้าแดงก่ำด้วยความเผ็ด กู้เสี่ยวอี้และถานอวี้ซูก็เหมือนค้นพบเรื่องที่สนุกสนาน คาดไม่ถึงว่าจะปรบมือส่งเสียงชอบใจ
ฟางเพ่ยหยาที่อยู่ด้านหลังเห็นสีหน้าของกู้หนิงอันเผ็ดจนแดงก่ำ แม้แต่ผ้าที่ปิดดวงตาก็ยังเปียกชื้นเล็กน้อย เกรงว่าจะเผ็ดจนแม้แต่น้ำตาก็ไหลออกมาแล้ว
“เสี่ยวอี้ เร็วเข้า รินน้ำให้ข้าที เผ็ด เผ็ดมาก!” กู้หนิงอันพูดอย่างเร่งเร้า
กู้เสี่ยวอี้หัวเราะฮ่า ๆ เพิ่งคิดจะขยับก็เห็นมือคู่หนึ่งยื่นออกมาข้าง ๆ ในมือนั้นถือถ้วยชาไว้และกำลังยื่นส่งให้ถึงมือของกู้หนิงอัน
มือของกู้หนิงอันจึงจับมือของ ‘กู้เสี่ยวอี้’ ไว้ พลางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมากจริง ๆ” พูดจบก็ดื่มมันในมือของฟางเพ่ยหยาจนหมดในรวดเดียว!
ฝ่ามือของกู้หนิงอันนั้นใหญ่มาก แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับบุรุษที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ว่าก็ยังใหญ่กว่าของฟางเพ่ยหยามากอยู่ดี
ฝ่ามือของเขานั้นอบอุ่นมากและกอบกุมมือเล็ก ๆ ของฟางเพ่ยหยาเอาไว้ ความร้อนที่แผดเผาในฝ่ามือเป็นเหมือนกับเปลวไฟที่ปะทุขึ้น จากฝ่ามือจนกระทั่งลามไปถึงก้นบึ้งหัวใจของฟางเพ่ยหยา จนกลายเป็นไฟที่ลุกโหม!
ใบหน้าของฟางเพ่ยหยาแดงระเรื่อเหมือนซับสีเลือดในทันที!
กู้หนิงอันดื่มน้ำแล้วก็ยังไม่ปล่อยมือของฟางเพ่ยหยาด้วยคิดว่าเป็นกู้เสี่ยวอี้ ปลายนิ้วที่อ่อนโยนแข็งแรงบีบฝ่ามือของนางเอาไว้แน่นพลางลูบเบา ๆ ข้างบน ยิ้มและแสร้งพูดทำเป็นโกรธว่า “เจ้าแย่มากจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะเอาพริกที่เผ็ดขนาดนั้นให้ข้ากิน! ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร…”
“ฮ่า ๆ พี่ชาย ท่านดูสิว่าท่านจับมือใคร!” กู้เสี่ยวอี้เพิ่งเห็นว่าฟางเพ่ยหยามาแล้ว จึงไม่ได้เปิดเผยออกมา ก็เห็นกู้หนิงอันจับมือของฟางเพ่ยหยาเอาไว้ไม่ปล่อยต่อหน้าต่อตากับถานอวี้ซู ทั้งสองคนยังปิดปากหัวเราะอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
กู้เสี่ยวอี้รู้ว่าเวลาที่กู้หนิงอันสั่งสอนคนนั้นเป็นอย่างไร นั่นก็คือการจั๊กจี้ เมื่อก่อนตอนที่กู้หนิงผิงอยู่ก็ชอบทำเช่นนี้กับนาง!
กู้เสี่ยวอี้ยังรู้จักบันยะบันยัง จึงรีบพูดห้ามออกมา!
กู้หนิงอันได้ยินเสียงของกู้เสี่ยวอี้มาจากด้านข้าง ทว่ากลับไม่ได้มาจากตรงหน้าของตัวเอง ในใจเขาจึงมีความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยในใจเริ่มเต้นตึกตัก จึงรีบใช้มือข้างหนึ่งดึงผ้าที่ปิดตาออก ถึงจะมองเห็นได้ชัดเจนว่าตรงหน้านั้นไม่ใช่กู้เสี่ยวอี้จริง ๆ
แต่เป็นฟางเพ่ยหยาที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำ กำลังก้มหัวลงเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปากราวกับดอกไห่ถังในเดือนสามที่เขินอาย
กู้หนิงอันกลับเหมือนถูกฟ้าผ่า เขารีบปล่อยมือของฟางเพ่ยหยาและถอยหลังอย่างรีบร้อนไปหลายก้าว จากนั้นจึงคำนับขอโทษขอโพยว่า “คุณหนูฟาง ขออภัยด้วย ขออภัยด้วย ข้านึกมาตลอดว่าเป็น…กู้เสี่ยวอี้ ไม่คาดคิดว่าแท้จริงแล้วจะเป็นท่าน… เมื่อครู่นี้ล่วงเกินมากแล้ว หวังว่าแม่นางจะให้อภัย ขออภัยด้วยจริง ๆ! หนิงอันขอโทษท่านด้วย”
กู้หนิงอันพูดขอโทษและโค้งคำนับไม่หยุด ท่าทางนั้นทั้งจริงจังและห่างเหินเจือด้วยความแปลกแยกลึก ๆ ทุกครั้งที่เขาพูดก็ทำให้หัวใจของฟางเพ่ยหยานั้นหนักอึ้ง
หัวใจของฟางเพ่ยหยาจมลงอย่างช้า ๆ จนถึงก้นบึ้ง แต่ก็จมลงไปไม่ได้อีก นางจึงรีบพยุงตัวและพูดว่า “เมื่อครู่เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ เป็นข้าที่ไม่ดีเอง ควรที่จะให้เสี่ยวอี้เป็นคนไป เพียงแต่เห็นคุณชายกู้เผ็ดมากจนทนไหว จึง… คุณชายกู้อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย!”
กู้หนิงอันส่งเสียงอืม น้ำเสียงนั้นทรงพลังและมีความชัดเจน หลังจากที่โค้งคำนับแล้วก็ทักทายคนที่อยู่ในห้องครัวแล้วจึงยกเสื้อคลุมขึ้นสาวเท้ายาวเดินออกไป ท่าทางที่เด็ดขาดแน่วแน่นั้นเหมือนกับว่ามีปีศาจกินคนอยู่ด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น!
กู้เสี่ยวอี้ยิ่งไม่เข้าใจ จึงรีบจับมือของฟางเพ่ยหยายิ้มแล้วพูดว่า “เพ่ยหยา เจ้าไม่รู้หรอกว่าถ้าหากเมื่อครู่นี้ข้าไม่ตะโกนให้หยุด เกรงว่าเจ้าจะต้องถูกเขาจั๊กจี้แล้ว! พี่ชายทั้งสองของข้าชอบจั๊กจี้ผู้อื่นเป็นที่สุด จับเจ้าเอาไว้จนไม่ยอมปล่อยเลยเชียว!”
ฟางเพ่ยหยาตอบรับด้วยรอยยิ้ม มุมปากมีรสขมฝาดจาง ๆ กู้เสี่ยวอี้ไม่เข้าใจ แต่ถานอวี้ซูที่อยู่ข้าง ๆ กลับเข้าใจ!
นางหันกลับมาเห็นสายตาที่มองกู้หนิงอันเดินออกจากห้องครัวไปไกล ท่าทางที่สง่างามว่องไวนั้นจมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด!
ฝีมือในการทำอาหารของกู้เสี่ยวอี้มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ถานอวี้ซูเองก็เรียนรู้ที่ทำอาหารทั้งสองอย่าง แม้ว่าหน้าตาจะไม่ดูดี แต่ว่าสามารถทำให้จวิ้นจู่ที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เด็กทำอาหารออกมาจนน้ำลายสอเช่นนี้ได้ ก็นับว่าก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว
ตอนแรกฟางเพ่ยหยากำลังจะจากไป แต่ถูกกู้ฟางสี่รั้งตัวเอาไว้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอยู่รั้งทานอาหาร
กู้หนิงอันไม่อยู่เดิมทีจะไปเรียกเขา แต่เขากลับบ่ายเบี่ยงว่าที่นี่มีแต่สตรี เขาเป็นบุรุษคนเดียวกลัวว่าจะไม่สะดวก จึงปัดผ่านอย่างขอไปที
กู้เสี่ยวหวานยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นในห้องครัว จึงแอบหัวเราะให้ความคร่ำครึของกู้หนิงอัน แล้วให้โค่วไห่ยกอาหารไป
หลายคนกำลังทานอาหารอยู่ในห้องรับประทานอาหาร หลายคนกำลังหัวเราะเปรียบเทียบอาหารของกู้เสี่ยวอี้และถานอวี้ซูอย่างติดตลกและก็กินอย่างมีความสุขมากเช่นกัน
ตลอดเหตุการณ์นี้ฟางเพ่ยหยาเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถานอวี้ซูเห็นในใจก็มีความเป็นกังวลเล็กน้อย!
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ฟางเพ่ยหยาจึงอ้างว่าที่จวนยังมีธุระอยู่ยังไม่ทันนั่งก็จากไปทันที กู้เสี่ยวหวานเห็นนางรีบมารีบไปก็รู้สึกแปลกใจ “วันนี้เพ่ยหยาเป็นอะไรไป?”
ถานอวี้ซูจึงตัดสินใจบอกกู้เสี่ยวหวานเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องครัว และบอกความคิดของตัวเองเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อย่างไม่มีตกหล่นสักคำ
กู้เสี่ยวหวานจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมกู้หนิงอันจึงไม่มาทานอาหารที่ห้องครัวด้วยกัน!
“เจ้า… เจ้าหมายความว่านางกับหนิงอัน…” กู้เสี่ยวหวานยังแทบไม่อยากจะเชื่อ