ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2047 นกกระจอกก็ยังเป็นนกกระจอก
บทที่ 2047 นกกระจอกก็ยังเป็นนกกระจอก
สวมรองเท้าดิ้นทองประดับมุกไว้ตรงปลายเท้า สีสันแวววาวงดงามยิ่ง มองดูแล้วช่างล้ำค่านัก
ผมมวยเป็นเมฆาสูงซึ่งสง่าและงดงาม ไข่มุกขนาดเท่านิ้วก้อยนั้นก็สว่างราวหิมะ เปล่งประกายระยิบระยับในเส้นผม ด้านหลังยังมีปิ่นดอกไม้ไหวสีทองฝังมุก สะท้อนใบหน้าที่งดงามราวดอกบัวจนดูมีเสน่ห์
ตอนนี้วังกุ้ยเฟยกำลังอมยิ้มพลางจับมือของนางกำนัลเดินเยื้องย่างเข้ามา ฮองเฮาเหลิ่งได้ยินการเคลื่อนไหว จึงเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า และพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้ามาแล้ว!”
“หม่อมฉันมาไม่ได้หรือ?” วังกุ้ยเฟยอยู่ห่างจากฮองเฮาเล็กน้อยแล้วจึงหยุดค้อมตัวคำนับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับแมลงปอแตะน้ำ
ฮองเฮาเหลิ่งได้แต่เงยหน้ามองวังกุ้ยเฟยอย่างเรียบเฉยโดยไม่พูดอะไร ทุกคนเห็นว่าวังกุ้ยเฟยคำนับเสร็จแล้ว จึงคำนับวังกุ้ยเฟยด้วยเช่นกัน
วังกุ้ยเฟยยืนอยู่ตรงหน้าฮองเฮาเหลิ่งอย่างพึงพอใจ จึงหันหลังไปมองเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ในงานเลี้ยงที่แสดงความเคารพตัวเอง “คำนับกุ้ยเฟยเหนียง…”
ตามหลักแล้วหลังจากที่ค้อมตัวเสร็จ พวกเหล่าคุณหนูก็สามารถลุกขึ้นได้แล้ว และก็มีคุณหนูบางคนที่ทำเช่นนี้จริง
อย่างไรเสียเมื่อครู่นี้คำนับฮองเฮา ฮองเฮาโบกมือทุกคนก็ยันกายลุกขึ้นมา!
ในนั้นก็มีบางคนที่ลุกขึ้นยืนทันทีหลังจากที่คำนับเสร็จ ดวงตาจึงสบเข้ากับสายตาของวังกุ้ยเฟยที่กวาดมาพอดี สายตาที่คมกริบนั้นน่าหวาดกลัวมาก
หลิวซืออี๋ตกใจมาก คิดอยากจะก้มตัวลงไปอีกครั้ง แต่กลับไม่อาจได้ทำแล้ว! วังกุ้ยเฟยมองหลิวซืออี๋ด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ “ดวงตาของคุณหนูผู้นี้ช่างงดงามนัก ดูมีชีวิตชีวาเหมือนกับพูดได้อย่างไรอย่างนั้น!”
กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง กำลังชมตัวเองอยู่ ความหวาดกลัวของหลิวซืออี๋เมื่อครู่นี้ถูกกวาดออกหายไปในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันขอบคุณกุ้ยเฟยเหนียงที่ชื่นชมเพคะ!”
วังกุ้ยเฟยยิ้มและไม่พูดอะไรอีก แต่มองไปที่พวกเหล่าคุณหนูที่ยังคงย่อเข่าคำนับ มองดูมวยผมที่ดำขลับและการย่อเข่าคำนับ นางยืนอยู่ตรงหน้าคนเหล่านี้ด้วยแผ่นหลังที่เหยียดตรงด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า
ตำแหน่งนี้มีคนตั้งเท่าไหร่ที่ใฝ่ฝันถึง มีสตรีผมดำขลับกลุ่มนี้ตั้งเท่าใดที่จ้องตาเป็นมันในตำแหน่งปัจจุบันนี้ของตัวเอง วังกุ้ยเฟยนึกถึงการคัดเลือกที่ใกล้จะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ความโปรดปรานของตัวเองเกรงว่ามันจะหายไปในไม่ช้า ในใจรู้สึกขุ่นเคืองใจมาก จึงนั่งลงและค่อย ๆ ยกมือขึ้นอย่างเกียจคร้านพลางพูดอย่างน่าเกรงขามว่า “ลุกขึ้นเถอะ!”
การวางมาดนั้นยังเยอะกว่าฮองเฮาเมื่อครูนี้เสียอีก!
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของเสียงเมื่อครู่นี้ ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยผู้หนึ่ง
หลิวซืออี๋!
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่านางถูกตระกูลหลิวส่งไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วกลับมาได้อีกอย่างไรกัน? หรือว่าตระกูลหลิวกลับคำและส่งคนไปรับนางกลับมา?
กู้เสี่ยวหวานนึกถึงตรงนี้ก็เงยหน้ากวาดสายตามองไปรอบด้าน แต่ก็ไม่พบเงาของหลิวเสวี่ยอิ๋ง
เดิมทีนั้นแม้ว่าใต้เท้าหลิวจะเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่ว่าระดับขั้นนั้นกลับน้อย โอกาสเช่นนี้หลิวเสวี่ยอิ๋งย่อมไม่มีทางที่จะไม่ปรากฏตัว!
แต่ว่านี่กลับแปลก
หลิวเสวี่ยอิ๋งไม่ปรากฏตัว แต่หลิวซืออี๋กลับปรากฏตัว กลับช่างน่าแปลกนัก!
กู้เสี่ยวหวานจ้องมองหลิวซืออี๋ที่กำลังยิ้มหวาน เสียงของวังกุ้ยเฟยที่ชื่นชมเมื่อครู่นี้ทำให้หลิวซืออี๋ดูเหมือนจะตื่นเต้นดีใจมาก จึงเอาแต่ยิ้มอย่างภูมิใจตลอด
คล้ายกับรู้สึกได้ว่ามีสายตากำลังมองตัวเองอยู่ จู่ ๆ หลิวซืออี๋ก็มองมาทางกู้เสี่ยวหวาน ความภูมิใจตรงมุมปากนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปกปิดได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ!
มองดูการแต่งตัวของนางในปัจจุบันนี้และมองย้อนกลับไปนั้นช่างแตกต่างกันอย่างมาก ปัจจุบันนี้เสื้อผ้างดงามหรูหรา การแต่งหน้าก็ยิ่งประณีตเหลือเกิน ท่าทางอิริยาบถก็ไม่ต่างจากสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง!
เมื่อครู่นี้หลิวซืออี๋เพิ่งได้รับความชื่นชมจากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง จึงแค่นเสียงเย็นใส่กู้เสี่ยวหวานและหันหน้าหนีไม่มองกู้เสี่ยวหวานอีก
หลังจากที่วังกุ้ยเฟยนั่งลงแล้ว สายตาก็ไม่ได้กวาดมองผู้ใด แต่มองไปที่กู้เสี่ยวหวานโดยเฉพาะ เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานสายตาก็มีความประหลาดใจและความอิจฉาชิงชังพาดผ่าน “วันนี้องค์หญิงอันผิงเองก็มาด้วย…”
วันนี้กู้เสี่ยวหวานสวมชุดสีฟ้า ชุดนั้นเนื้อผ้าทำจากไหมชั้นดี ทั้งนุ่มลื่นและย้อมจนกลายเป็นสีฟ้า ยามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ราวกับมีคลื่นน้ำเป็นระลอก
ด้านบนของชุดปักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนงดงาม ก้านใบบัวสีเขียวแผ่กิ่งก้านจากชายกระโปรงจนมาถึงเอว ด้านบนเป็นดอกบัวที่บานครึ่งหนึ่ง กลีบดอกเป็นสีขาวราวหิมะกึ่งเปิดกึ่งปิด ราวกับสาวงามขี้อายที่โอบกอดผีผาและปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ท่าทางงดงามเป็นสง่าหาใดเปรียบ
รูปร่างของกู้เสี่ยวหวานสูงบางอยู่แล้ว พออยู่ในกลุ่มคุณหนูเหล่านี้ก็ยิ่งสูงกว่าพวกคุณหนูตั้งครึ่งศีรษะ ด้วยคอที่เรียวขาวหมดจด พอสวมชุดสีฟ้าแล้วก็ยิ่งขับเน้นให้ผิวขาวราวหิมะ ริมฝีปากสีแดงก่ำเจือด้วยรอยยิ้ม ดูงดงามแต่กลับไม่โอ้อวด
มวยผมใช้เพียงแค่ปิ่นไม้ดอกเหมยแกะสลักอย่างประณีตอันเดียวเท่านั้น ทิ้งพู่ประดับลูกปัดและปิ่นหยกประดับตกแต่ง มีเพียงปิ่นดอกเหมยที่เรียบง่ายจนน่าประหลาดใจเพียงอันเดียว ทำให้วังกุ้ยเฟยรู้สึกน่าขันนัก
งานเลี้ยงชมดอกบัวที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ได้จัดขึ้นโดยฮองเฮา ปิ่นดอกเหมยที่เรียบง่ายเช่นนี้และยังแกะสลักด้วยไม้ ช่างต่ำต้อยเสียจริง จนไม่อาจโอ้อวดได้!
วังกุ้ยเฟยแค่นเสียงเย็นสังเกตกู้เสี่ยวหวานขึ้น ๆ ลง ๆ เสร็จ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูองค์หญิงอันผิงวันนี้สิ ช่างน่าตื่นตะลึงนัก! ชุดสีฟ้าตัวนี้ขับผิวขององค์หญิงอันผิงจนขาวเหมือนหิมะเลย!”
วังกุ้ยเฟยมาแล้วซูหมิ่นดูเหมือนจะมีผู้สนับสนุน ได้ยินนางชื่นชมกู้เสี่ยวหวาน ซูหมิ่นเองก็สังเกตกู้เสี่ยวหวานด้วย เห็นนางงดงามดูดี แม้ว่าจะแต่งตัวสง่างาม แต่กลับไม่ด้อยกว่าตัวเองเลยแม้แต่น้อย ในใจจึงยิ่งอิจฉาชิงชัง “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ นกกระจอกตัวนี้บินขึ้นไปบนกิ่งไม้แล้วห้ามแต่งตัวปกปิดขนที่ดำหมองด้วยหรือ? ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถกลายเป็นหงส์ได้ แต่เมื่อปีนไปเกาะกิ่งไม้แล้วก็ยังคงเป็นเพียงแค่นกกระจอกให้คนขบขันแล้ว!”
นี่กำลังหมายความว่าถึงแม้กู้เสี่ยวหวานจะมีฐานะเป็นองค์หญิงอันผิงในตอนนี้ แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าหรูหราและแต่งหน้าอย่างงดงามประณีต แต่ว่าในกระดูกนั้นก็ยังเป็นแค่นกกระจอก เป็นหญิงสาวชาวนาที่ต่ำต้อย!
สายตาของซูหมิ่นกวาดมองกู้เสี่ยวหวานอย่างไม่ตั้งใจ ความลำพองใจในสายตานั้น เมื่อมองใบหน้าที่งดงามดั่งดอกไม้ ความลำพองใจก็กลายเป็นความริษยาและความชิงชัง ในแววตาเต็มไปด้วยความชิงชังที่รุนแรงราวกับเต็มไปด้วยพิษร้าย