ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2062 ข้ามีความสามารถในการชุบชีวิตคน
บทที่ 2062 ข้ามีความสามารถในการชุบชีวิตคน
วังกุ้ยเฟยกล่าวทั้งน้ำตา หยาดน้ำตาอุ่นร้อนพรั่งพรูราวกับสร้อยลูกปัดขาดสาย ความคับแค้นใจทั้งหมดปรากฏบนใบหน้าชัดเจน!
ฮ่องเต้มองราวกับไม่เห็นน้ำตาของวังกุ้ยเฟย สายตาจับจ้องไปยังร่างกายผอมซูบที่นอนไม่ได้สติของฮองเฮาเหนียงเหนียง ดังนั้นวังกุ้ยเฟยจึงขมวดคิ้วทันที และแสดงท่าทีโศกเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อฮ่องเต้เห็นน้ำตาเหล่านั้นก็กังวลมากขึ้น และกล่าวว่า “ฮองเฮายังคงพักผ่อนอยู่ สงบสติอารมณ์ อย่ารบกวนการพักผ่อนของนาง!”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ วังกุ้ยเฟยรีบกลั้นน้ำตา เพื่อหยุดเสียงสะอื้น กระแอมออกมาบ้างเป็นครั้งคราว และเช็ดน้ำตาเบา ๆ ดวงตาของนางบวมแดง นางจ้องมองดูฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ
น่าเสียดายที่ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของฮ่องเต้อยู่ที่ฮองเฮา และเขาไม่สนใจวังกุ้ยเฟยที่ส่งสายตาให้เขาแม้แต่น้อย!
เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ข้างนอก กู้เสี่ยวหวานก็พูดว่า “ท่านหมอหลวงห่าว ท่านรู้จักผงเกสรม่านถัวหลัว*[1]หรือไม่”
“ผงเกสรม่านถัวหลัว?” หมอหลวงห่าวเหลียนถามกลับหลังจากได้ยินสิ่งนี้
กู้เสี่ยวหวานจ้องมองที่วังกุ้ยเฟยตลอดเวลา เมื่อนางได้ยินคำนี้ ม่านน้ำตาของนางก็หยุดลงโดยไม่ได้ตั้งใจจากนั้นก็กลับสู่ปกติ!
“ผงเกสรม่านถัวหลัวนี่คืออะไร” ไทเฮาไม่เข้าใจ จึงรีบถามว่า “นี่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยของฮองเฮาหรือไม่”
“ทูลไทเฮา แน่นอนว่ามันต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้อง ผงเกสรม่านถัวหลัวนี้อาจทำให้เกิดภาพหลอนได้ในกรณีที่ได้เสวยเข้าไปไม่มาก แต่อาจทำให้เสียชีวิตได้ในกรณีที่รับพิษตัวนี้เข้าไปเป็นจำนวนมาก เพราะมันจะทำให้มีอาการรุนแรง!”
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานรู้จริง ๆ ว่าผงเกสรม่านถัวหลัวนี้คืออะไร ใบหน้าของวังกุ้ยเฟยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก อย่างไรก็ตามเมื่อคิดว่าอย่างไรเสียคน ๆ นั้นก็ได้ตายไปแล้ว นางจึงรีบปรับสีหน้า และมองกู้เสี่ยวหวาน ที่จ้องมองมาแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
“พูดจาเหลวไหล ผงเกสรม่านถัวหลัวอะไรกันหรือ ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน เจ้าต้องอยู่ให้ห่างจากข้า เพราะเจ้ามันเป็นดาวหายนะ ดาวแห่งความโชคร้าย ถ้าเจ้าทำอะไรข้า ข้าจะกลับมาเล่นงานเจ้าแม้ว่าข้าจะกลายเป็นวิญญาณไปแล้วก็ตาม!”
มีการหลบหลีกและร่องรอยของความตื่นตระหนกในดวงตาของวังกุ้ยเฟย แต่ในไม่ช้านางก็กลับมาเป็นปกติ ทว่าการกระทำของนางไม่สามารถหลบสายตาของกู้เสี่ยวหวานเลย
“ว่าไงนะ ผงเกสรม่านถัวหลัวสามารถทำให้เกิดภาพหลอนได้งั้นหรือ หมายถึง…ฮองเฮา ก็… ถูกพิษจากผงเกสรม่านถัวหลัวนี้ด้วยหรือ”
ไทเฮาได้ยินว่าม่านถัวหลัวนี้อาจทำให้เกิดภาพหลอนได้ เมื่อนึกถึงอาการของฮองเฮาที่เอาแต่เพ้อว่ามีวิญญาณชั่วร้ายจะมาทำร้ายนางและองค์ชายในครรภ์ มันมาจากผลกระทบของม่านถัวหลัวนี้เองหรอกหรือ ที่ทำให้นางเกิดประสาทหลอน
ฮ่องเต้ยังรอให้กู้เสี่ยวหวานอธิบาย จากนั้นได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดว่า “ดอกม่านถัวหลัวนี้ว่ากันว่าเป็นดอกไม้นำทางสู่ยมโลก และหากนำมันมาบดเป็นผงและกินเข้าไป อาจทำให้คนเสียสติได้เหมือนคนบ้า!”
“ไร้สาระ ดอกม่านถัวหลัว? เจ้าเคยเห็นมันหรือไม่” เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังฟังคำอธิบายของกู้เสี่ยวหวาน วังกุ้ยเฟยจึงรีบพูดว่า “ดอกม่านถัวหลัวหรือ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้อุปโลกน์ชื่อขึ้นมาเพื่อตบตาพวกข้า!”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ท่านหมอหลวงห่าวเหลียน ท่านลองตรวจสอบบริเวณใต้คางของฮองเฮาอย่างละเอียดอีกครั้ง และดูว่ามีผงเกสรบนบาดแผลหรือไม่!” กู้เสี่ยวหวานพูดพร้อมชี้ไปที่ฮองเฮาซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม
หมอหลวงห่าวเหลียนไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่เป็นทิงเหยียนนั้นที่รีบไปดู และใช้มือของนางเชิดคางของฮองเฮาเบา ๆ และพบผงละเอียดเล็กน้อย นางตกใจมาก “จริงด้วย! มันคืออะไร?”
ปลายนิ้วของทิงเหยียนมีผงสีขาวเล็กน้อย หมอหลวงห่าวเหลียนมองไปที่มัน พร้อมกับยื่นมือออกไปสัมผัสและได้พบว่ามันเหนียวเหนอะหนะ เขางงงวยกับสิ่ง ๆ นี้ “นี่… มาจากไหน?”
“ในเล็บของฮวาเหลียน มีผงเกสรม่านถัวหลัวซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ทำร้ายฮองเฮา ผงเกสรม่านถัวหลัวนี้เข้าสู่กระแสเลือดของฮองเฮาโดยตรง มันส่งผลกระทบทวีคูณ!” กู้เสี่ยวหวานวิเคราะห์
“ไร้สาระ มันอาจเป็นผงแป้งผัดหน้า แต่เจ้าพูดออกมาเป็นตุเป็นตะว่ามันคือเกสรม่านถัวหลัว เจ้าบอกว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดภาพหลอนได้ เพียงแค่เจ้าพูดเช่นนั้น ทุกคนก็ต้องเชื่อเจ้าหรือว่าเป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้ฮองเฮาเกิดภาพหลอน!”
วังกุ้ยเฟยพูดอย่างเหยียดหยาม “เพื่อให้ตนเองพ้นผิด เจ้าก็เอาแต่พูดจาไร้สาระ! โดยไม่สนชีวิตและความเป็นความตายของฮองเฮา!”
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม “วังกุ้ยเฟย ข้ามีความสามารถในการชุบชีวิตคนตายได้ เจ้าอยากเห็นมันหรือไม่”
วังกุ้ยเฟยหรี่ตามองกู้เสี่ยวหวาน และไม่สนใจสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูด จากนั้นนางก็มีใบหน้าเหยียดหยามพร้อมกับกล่าวว่า “เหลวไหล หากเจ้ามีความสามารถเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าก็ช่วยฮองเฮาสิ!”
“วังกุ้ยเฟย ฮองเฮาทรงมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่แค่ถูกพิษร้ายนี้เท่านั้น เมื่อคนร้ายถูกจับ ฮองเฮาจะฟื้น!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างจริงจัง
วังกุ้ยเฟยตะคอก “ผู้ร้ายคนนั้นหรือ ข้าว่าก็เจ้านั่นแหละ!”
กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจ นางมองไปที่ไทเฮาและฮ่องเต้แล้วตรัสว่า “ทูลฝ่าบาท ไทเฮาเหนียงเหนียง เสี่ยวหว่านมีพยาน โปรดอนุญาตให้เรียกตัวนางมาสอบสวนด้วย”
ไทเฮาและฮ่องเต้พยักหน้า “ใครหรือ ที่เจ้าว่าเป็นพยานให้เจ้าได้”
กู้เสี่ยวหวานหันออกไปข้างนอกและพูดว่า “เข้ามา!”
ในขณะเดียวกัน อาจั่วก็นำตัวคนคนหนึ่งเข้ามา โดยที่เนื้อตัวของคนผู้นั้นเปรอะเปื้อนไปหมด
เมื่อมาถึงห้องบรรทม คนผู้นั้นก็ตัวสั่นงันงก เข่าของนางอ่อนลง พร้อมกับคุกเข่าลงที่พื้น “ข้า…ข้า…”
“ฮวาเหลียน…เจ้า…เจ้ายังไม่ตาย?” ฮวาน่งปิดปากด้วยความตกใจ นางจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของฮวาเหลียน “เจ้า…เจ้า…ยังไม่”
ฮวาเหลียนเงยหน้าขึ้นและในที่สุดทุกคนก็เห็นใบหน้านั้น คนตรงหน้าคือฮวาเหลียนที่เพิ่งบีบกรามของฮองเฮาและเป็นผู้ถวายโอสถ!
“ในตอนนั้น ขณะที่นางถวายโอสถและกำลังจะเดินออกจากตำหนัก เสี่ยวหวานเห็นสีหน้าลุกลี้ลุกลนของนางและมือที่สั่นเทา เสี่ยวหวานเดาได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบุคคลนี้ ดังนั้นนางจึงขอให้อาจั่วติดตามนางไป แต่คาดไม่ถึงว่านางตรงไปที่บ่อน้ำ และคิดจะกระโดดลงไป อาจั่วจึงรีบเข้าไปช่วยนาง จากนั้นด้วยความรอบคอบของอาจั่ว นางเอาเสื้อผ้าของฮวาเหลียนมัดเข้ากับก้อนหินแล้วโยนมันลงไปในบ่อ เพื่อทำให้ใครบางคนเห็นภาพลวงตาว่านางตกลงไป!”
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้และไทเฮาก็ฉงนเช่นกัน กู้เสี่ยวหวานรีบอธิบาย “สำหรับฮวาน่งผู้นี้ ถ้าคนของข้าจำไม่ผิด เมื่อมีคนตกลงไปในบ่อน้ำ เจ้าก็เพิ่งปรากฏตัวขึ้น และเจ้าคิดว่าเป็นฮวาเหลียนที่ตกลงไปในบ่อ และรีบมารายงานใช่หรือไม่”
ฮวาน่งพยักหน้ายอมรับ “ใช่ ใช่ ข้าเห็นเสื้อผ้าของฮวาเหลียนตกลงไป ข้าเลยคิดว่า… ข้าคิดว่าเป็นนาง!”
“ดี ข้าถือว่าเจ้าพูดความจริง ข้าจะปล่อยเจ้าไป!” กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ฮวาน่งซึ่งเกือบจะหยุดหายใจด้วยความกลัวและสายตาที่จับผิดของกู้เสี่ยวหวาน! นางรีบก้มศีรษะของนางลง และตัวสั่นราวกับกลัวว่าจะได้รับโทษหนัก
[1] ม่านถัวหลัว (曼陀罗) หรือลำโพง เป็นไม้ล้มลุกจัดอยู่ในพืชมีพิษ ข้อควรระวังคือ ถ้ากินเข้าไปจะทำให้สายตาพร่ามัว เพ้อ มีอาการทางจิต ตาแข็ง หายใจลำบาก เมื่อแก้พิษแล้วอาการทางจิตก็ยังคงอยู่ รักษาไม่ค่อยหาย