ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 207 เดินทางด้วยกัน
บทที่ 207 เดินทางด้วยกัน
บทที่ 207 เดินทางด้วยกัน
“นั่นก็เป็นไปได้นะ” ฮูหยินสวีพูด “กิจการของเถ้าแก่หลี่ในตอนนี้เจริญรุ่งเรืองนัก มีร้านอยู่ทั่วทุกแห่ง เสี่ยวเซิ่งจื่อคนนั้นก็เป็นหนุ่มหัวไว มือเท้าก็คล่องแคล่ว พูดจาก็สุภาพน่าฟัง ทั้งยังรู้จักยืดยุ่น ไม่รู้ว่าเถ้าแก่หลี่จะให้ความสำคัญกับเขามากขนาดไหน”
“การเข้าไปในเมืองนั้นไม่เหมือนกับมาที่นี่นะ” ฮูหยินสวีพูดสิ่งที่อยู่ในใจ
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเข้าไปเมืองอื่น วันนี้นางแค่เพียงได้ยินลูกจ้างของร้านจิ่นฝูพูดแบบนี้ก็เท่านั้น สุดท้ายก็ได้ยินสวีเซียนหลินพูด “นั่งรถม้าจากที่นี่ไปประมาณสองชั่วยาม”
แท้จริงก็เป็นเช่นนี้ ระยะทางไปยังอีกเมืองนั้นช่างไกลจากหมู่บ้านอู๋ซีและเมืองหลิวเจียถึงสองเท่า
ไกลขนาดนี้กู้เสี่ยวหวานก็เกิดความลังเลเล็กน้อย ตอนนี้ก็เสียเวลามาห้าชั่วยามแล้ว หากอ้างอิงตามเวลาในยุคปัจจุบันก็เป็นเวลาสิบชั่วโมงแล้ว ถ้าออกเดินทางตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง กว่าจะกลับถึงบ้านก็คงฟ้ามืดแล้ว นี่เป็นเวลาที่เดินทางด้วยรถม้าแล้วนะ แล้วถ้าไม่ได้นั่งรถม้าไปล่ะ
เพียงแค่กู้เสี่ยวหวานคิด นางยังไม่กล้าที่จะคิดเลย
จู่ ๆ นางก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา ยุคสมัยนี้ การสัญจรก็ยังไม่ค่อยสะดวกสบายนัก หลังจากที่นางหาเงินได้แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือซื้อรถม้าสักคัน ลำพังแค่อาศัยสองขาของตัวเองเดินไปเดินมา ช่างไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย อีกทั้งยังต้องแบกของมากมาย กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าตัวเองอาจจะแบกของจนหลังงอได้
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นางเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวและยังอ่อนแอนัก ถ้าระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ นี่เป็นเรื่องที่นางไม่กล้าที่จะคิดเลย
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้อ้อนวอนสวรรค์หรือผืนดินก็คงไม่ทันแล้ว
ดูเหมือนตอนนี้ แผนการไปในเมืองคงต้องยกเลิกเสียแล้ว
สวีเฉิงเจ๋อเห็นประกายในดวงตาของกู้เสี่ยวหวานหม่นแสงลง ก็รู้ได้ถึงความคิดในใจของกู้เสี่ยวหวานได้
กู้หนิงอันเห็นท่าทางลังเลตัดสินใจไม่ได้ของพี่สาว เขาก็รู้ว่าพี่สาวต้องไปขายของหาเงิน และในใจคงกำลังคิดวางแผน ครั้นมองท่าทางครุ่นคิดของพี่สาว กู้หนิงอันก็ปวดใจ ตนดึงแขนพี่สาวแล้วพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ท่านพี่ อีกสองสามวันจะเป็นวันหยุดของข้า ข้าจะพาท่านเข้าไปในเมืองเอง”
เขาคิดในใจว่า ถ้าพี่สาวต้องเข้าไปในเมืองจริง ๆ เช่นนั้นก็ต้องมีคนไปด้วย ไม่อย่างนั้นให้นางไปคนเดียวเขาก็คงไม่ยอมแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานถูกน้องชายจับจ้องก็ยิ้มให้ จากนั้นก็ตบหลังเขาเป็นการปลอบใจ การกระทำระหว่างสองพี่น้องทำให้คนอื่นรู้สึกอบอุ่น
“ถ้าข้าไม่มีงาน ข้าก็จะไปด้วย บ้านข้ามีรถม้า เดี๋ยวขับรถม้าไปส่งเจ้าได้” สวีเฉิงเจ๋อเอ่ยปากพูดเช่นกัน หากให้กู้เสี่ยวหวานไปคนเดียว เขาเองก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน
“เฉิงเจ๋อกล่าวไม่ผิด พวกเจ้านั่งรถม้าไปเถิด รถม้านี้วิ่งได้เร็วกว่าพวกเจ้าสองพี่น้องเดินเท้า หากพวกเจ้าคิดจะเดินไปล่ะก็ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึง” สวีเซียนหลินเอ่ย
หากบอกว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ซาบซึ้งก็คงจะโกหกแล้ว เพราะนางต้องการไปขายของ ครอบครัวพวกเขาช่วยเหลือนางขนาดนี้ ช่างทำให้คนซาบซึ้งใจจริง ๆ
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ อาจารย์สวี ฮูหยินสวี ไม่จำเป็นต้องลำบากพวกท่านขนาดนี้” กู้เสี่ยวหวานซาบซึ้งน้ำใจพวกเขา แต่ว่านางไม่อยากสร้างความลำบากให้พวกเขาเช่นกัน “เห็ดตี้มู่นี้ข้าตากแห้งแล้ว สามารถเก็บได้ครึ่งปีก็ไม่เสีย รอให้เถ้าแก่หลี่กลับมาแล้วค่อยว่ากันก็ได้เจ้าค่ะ”
เดิมทีกู้เสี่ยวหวานยังคิดจะไปหาเถ้าแก่หลี่ที่ร้านใหม่ของเขา ในตอนนี้ดูแล้วเส้นทางไกลเกินไป คิด ๆ ดูแล้วก็ช่างมันเถอะ รอให้เถ้าแก่หลี่กลับมาแล้วค่อยว่ากัน
“แล้วเถ้าแก่หลี่คนนั้นจะกลับมาเมื่อไรเล่า เจ้าก็ได้ยินแล้วนี่ว่า เถ้าแก่หลี่เปิดร้านจิ่นฝูอีกแห่งในอีกเมือง ทั้งยังใหญ่กว่าที่นี่ด้วย ที่นั่นไม่ว่าอะไรก็ต้องจัดการ คาดว่าเขาคงไม่ได้กลับมาเร็ว ๆ นี้หรอก” สวีเฉิงเจ๋อรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานต้องการเงินตอนนี้ ให้รอนานขนาดนั้น เกรงว่าคงยากที่จะรอ
“ท่านพี่ อีกสองสามวันก็จะเป็นวันหยุดของข้าแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไปเช้า ๆ หน่อย” กู้หนิงอันพูด
“ใช่ พอดีเลย วันนั้นรถม้าของเราก็ไม่ได้ใช้ ให้พวกเจ้าเอาไปใช้เถอะ”
“อาจารย์น้อยสวี ไม่เป็นไรจริง ๆ เจ้าค่ะ“ กู้เสี่ยวหวานไม่อยากรบกวนเขาจริง ๆ ได้ยินกู้หนิงอันบอกว่าครอบครัวสวีดูแลเขาดีมาก แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่กู้เสี่ยวหวานก็ไม่อยากรบกวนคนอื่น
“เสี่ยวหวาน เจ้าอย่าปฏิเสธไปเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน ของของเจ้าวางไว้ที่นี่ก่อน รอกู้หนิงอันหยุดเจ้าค่อยมาอีกรอบ จากนั้นก็นั่งรถม้าไปในเมืองด้วยกัน” ฮูหยินสวีพูดตัดบทกู้เสี่ยวหวาน นางไม่ยอมให้กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธ
นางรู้สึกชอบเด็กคนนี้มาก เพราะเด็กคนนี้เชื่อฟังรู้ความ และยังขยันมีน้ำใจ หากนางช่วยพวกเขาได้ก็จะยื่นมือเข้าช่วย
กู้เสี่ยวหวานเห็นความพยายามของฮูหยินสวี่ ก็ทำได้เพียงยอมลงให้นาง
“นั่นรบกวนพวกท่านแล้วจริง ๆ นะเจ้าคะ” กู้เสี่ยวหวานยังคงรู้สึกเกรงใจอยู่มาก พวกเขาจะไปส่งนางโดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่ผ่านทาง กู้เสี่ยวหวานคิดไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกเกรงใจ
“เจ้าอย่าเกรงใจไปเลย” สวีเซียนหลินลูบเครายกยิ้ม “พอดีเลย ข้ากำลังคิดจะให้เฉิงเจ๋อไปเอาหนังสือที่ข้าจ้องไว้ที่ร้านหนังสือในเมืองกลับมา”
สวีเซียนหลินเป็นคนฉลาดเฉลียวผู้หนึ่ง เขาเห็นกู้เสี่ยวหวานดูลำบากใจ ก็ครุ่นคิดให้เฉิงเจ๋อไปทำธุระของตัวเองเรื่องหนึ่งด้วย เพื่อไม่ให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกกังวลใจ
พอดีกับที่เขาเพิ่งจองหนังสือเอาไว้นิดหน่อย เดิมทีให้คนรับใช้ไปก็พอ แต่เพื่อไม่ให้กู้เสี่ยวหวานกังวลใจ สวีเซียนหลินจึงตัดสินใจให้สวีเฉิงเจ๋อไปรับด้วยตัวเอง
สวีเฉิงเจ๋อพอได้ยินก็ตาเป็นประกาย รีบตกลงรับปาก “ขอรับ ท่านพ่อ”
ฮูหยินสวีเห็นทุกคนคุยเสร็จเรียบร้อยก็พูดขึ้นว่า “ดี ๆ เช่นนั้นก็เอาตามนี้ รีบกินข้าวเถอะ ข้าวจะเย็นหมดแล้ว” พูดจบก็คีบเนื้อใส่ถ้วยของกู้เสี่ยวหวาน พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “กินเยอะ ๆ นะ ดูสิเด็กคนนี้ผอมเชียว”
กู้เสี่ยวหวานขอบคุณอย่างจริงใจ แต่เพราะสวีเฉิงเจ๋อกินข้าวเร็วเกินไป จึงอิ่มแล้วนั่งมองอยู่ด้านข้าง บางครั้งเขาก็คีบกับข้าวให้คนอื่น
หลังจากกินข้าวเสร็จ สวีเฉิงเจ๋อกับกู้หนิงอันก็ไปส่งกู้เสี่ยวหวานที่หน้าประตู หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อย กู้เสี่ยวหวานก็ทำทางว่าอีกสองสามวันนางจะมาแต่เช้า ทว่าสวีเฉิงเจ๋อไม่ยินยอม “เจ้าไม่ต้องมาเช้าขนาดนั้น ข้าเอารถม้าไปรับเจ้ามาก็ได้”
กู้เสี่ยวหวานย่อมไม่ตอบตกลง เมื่อครู่สวีเซียนหลินดูแลนางดีมากแล้ว จะให้สวีเฉิงเจ๋อมารับนางโดยเฉพาะก็ดูจะเป็นการรบกวนเขาเกินไป เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกกังวลใจนัก ถ้าเขามารับนางที่หมู่บ้านอู๋ซีโดยเฉพาะแค่คิดนางยังไม่กล้าเลย
สวีเฉิงเจ๋อก็จนปัญญาจึงทำได้แค่ยอมตกลง เดิมทีเขาจะเอารถม้าของที่บ้านไปส่งกู้เสี่ยวหวานที่หมู่บ้านอู๋ซี แต่นางปฏิเสธ สวีเฉิงเจ๋อย่อมรู้ว่านางไม่อยากติดหนี้บุญคุณพวกเขามากนัก
เช่นนั้นก็ปล่อยเลยตามเลย