ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2102 ครอบครัวของข้าค่อนข้างร่ำรวย
บทที่ 2102 ครอบครัวของข้าค่อนข้างร่ำรวย
ผู้ที่ถูกเรียกให้ไปส่งมอบปิ่นปักผมดำเนินการอย่างระมัดระวัง เขาถือปิ่นไว้ในมือแล้วยื่นให้ปรมาจารย์โจว
โจวหมิงเซวียนหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาหนึ่งอันพร้อมกับชำเลืองมองเพียงครู่เดียว จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ปิ่นอีกอันหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าเป็นผู้ทำปิ่นชิ้นนี้ ปิ่นอันอื่นคล้ายกับของข้ามาก แต่มันไม่ใช่ของข้า!”
ปรมาจารย์โจวหยิบปิ่นขึ้นมาหนึ่งอันอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าทำ!”
ปิ่นปักผมที่ปรมาจารย์โจวเลือกออกมาจะเห็นว่ามีรอยที่ปลายปิ่น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นชื่อที่สลักอยู่
“เป็นไปได้อย่างไร? ข้าซื้อปิ่นปักผมนี้ที่เตี่ยนชุ่ยฟาง!” เมื่อเห็นสิ่งนี้กู้ซินเถารีบพูดว่า “มันมีราคาเกือบหมื่นตำลึงเงิน และมันเป็นของแท้!”
“ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงมั่นใจนักว่าปิ่นที่ถืออยู่ในมือของปรมาจารย์โจวเป็นของท่าน? สิ่งของที่ปรมาจารย์โจวทำขึ้นเองเขาจะจำผิดจำถูกได้อย่างไร? ข้าว่ามันแปลกนะ ทำไมท่านถึงแน่ใจว่าปิ่นที่เขาถืออยู่เป็นของจริง หรือว่าปิ่นที่อยู่ในมือของเขาเป็นปิ่นที่ท่านส่งมอบให้แก่เขา ท่านจึงมั่นใจ?” กู้เสี่ยวหวานพูด
คำถามของกู้เสี่ยวหวานทำให้กู้ซินเถาพูดไม่ออก! นางควรจะตอบว่าอย่างไรดี? บอกว่านางให้ปิ่นนี้กับหลิวกุ้ยหย่งเองเพื่อใส่ร้ายกู้เสี่ยวหวานอย่างนั้นหรือ?
กู้ซินเถาจะพูดสิ่งนี้ออกไปได้อย่างไร!
เนื่องจากคำถามของกู้เสี่ยวหวาน จึงเกิดความเงียบภายในห้องโถงโดยไม่มีผู้ใดพูดอะไรออกมา
ประการแรกกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงขององค์หญิงอันผิง และประการที่สองเนื่องจากซูจือเยว่อยู่ที่นี่ และมีความรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นค่อนข้างคาดเดาไม่ได้
ที่นายน้อยซูพูดเมื่อครู่…
ในวันที่เก้าเดือนเก้าที่จะถึงนี้ ซูจือเยว่จะต้องเดินทางไปสู่ขอหมิงตูจวิ้นจู่ แล้วเหตุใดวันนี้กลับมีคำพูดเช่นนี้ออกมาเล่า!
การมาถึงของปรมาจารย์โจว พิสูจน์ว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นผู้ครอบครองปิ่นของแท้ แต่ปิ่นที่อยู่ในมือของหลิวกุ้ยหย่งนั้นน่าสงสัย กู้ซินเถาไม่พูดอะไร แต่กู้เสี่ยวหวานยังต้องการที่จะเอาคำตอบและพยายามคาดคั้นหลิวกุ้ยหย่ง
“เจ้าบอกว่าข้าให้ปิ่นแก่เจ้า แต่ปิ่นปักผมนี้ยังอยู่ในมือของข้า เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนว่านั่นเป็นปิ่นของข้า?”
หลิวกุ้ยหย่งมั่นใจมาโดยตลอดว่าปิ่นปักผมในมือของเขาเป็นของจริง แต่จู่ ๆ ปรมาจารย์ที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาพิสูจน์ว่าปิ่นในมือของเขาเป็นของปลอม!
จากคำถามของกู้เสี่ยวหวาน ทำให้เขาหยุดชะงักทันที จากนั้นเขาก็หันไปหากู้ซินเถาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาเห็นว่ากู้ซินเถากำลังก้มศีรษะของนางอย่างหลีกเลี่ยงสายตา และร่างกายของนางก็สั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่ยอมตอบคำถามของกู้เสี่ยวหวาน!
นางยังคงคิดอยู่ว่านางควรตอบออกไปอย่างไรดี!
หลิวกุ้ยหย่งตื่นตระหนกในทันที เหงื่อไหลออกจากหน้าผากของเขา และแม้แต่หลังของเขาก็ยังเปียกชื้น
กู้เสี่ยวหวานเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของหลิวกุ้ยหย่ง แม้ว่าเขาจะมองหากู้ซินเถาราวกับขอความช่วยเหลือ แต่กู้เสี่ยวหวานก็สามารถเห็นได้เช่นกันว่ากู้ซินเถากำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วและคิดเกี่ยวกับมัน
ในเวลานี้กู้เสี่ยวหวานก็พูดอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการบอกว่าปิ่นของเจ้ามาจากไหน ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากถามว่าเจ้าและข้าเจอกันที่ไหนหรือ”
ทันทีที่หลิวกุ้ยหย่งได้ยิน เขาก็ตอบทันทีว่า “ครอบครัวของข้ายากจน ข้าระเหเร่ร่อนไปที่บ้านของเจ้า เจ้าเห็นว่าข้าน่าสงสาร จึงให้ข้าวให้น้ำแก่ข้า ภายหลังเจ้าอาจเห็นว่าข้าพอมีเรี่ยวแรง เจ้าจึงพาข้าเข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้า เพื่อช่วยทำงานที่บ้าน ข้าฉินเย่จือ ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ตอบแทนความเมตตา ข้าจะจดจำอาหารมื้อนั้นไว้ในใจตลอดไป!”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคงจะรู้สินะว่าตอนนั้นข้าให้อะไรเจ้ากิน?” กู้เสี่ยวหวานถาม
หลิวกุ้ยหย่งพูดเสียงดัง “จะมีอะไรได้ ก็อาหารที่ทุกคนกินกันทั่วไป!” หลังจากที่หลิวกุ้ยหย่งพูดจบ เขาก็ดูเหมือนกลัวว่าทุกคนจะไม่เชื่อเขา ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ “ข้าจำได้ชัดเจนมากว่ายังมีชิ้นเนื้ออยู่ในชามนั้น!”
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม “เช่นนั้นหรือ? ในตอนนั้น ครอบครัวของข้ายากจนมาก ข้าจะมีอาหารให้ขอทานได้หรือ ทั้งยังมีเนื้อสัตว์อีกด้วย เพราะหากว่าเป็นเช่นนั้นครอบครัวของข้าก็คงถือได้ว่าค่อนข้างร่ำรวยล่ะสิ?”
หลังจากกู้เสี่ยวหวานคุยกับคนคนนั้นเสร็จ นางก็พูดอย่างใจเย็น “ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นคนจากเมืองหลวง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเจ้าคงไม่รู้ถึงความยากลำบากของชีวิตในชนบท ข้าจำได้ลาง ๆ ว่าในตอนนั้น ข้าสี่พี่น้องลำบากมาก ไม่ต้องคิดถึงเลยว่ามีเนื้อสัตว์กินหรือไม่ พวกข้ามีกินไม่อิ่มท้องด้วยซ้ำ ข้าต้องกังวลอยู่เสมอว่าพรุ่งนี้จะมีข้าวกินหรือไม่ ข้าแปลกใจมาก ข้าจำได้แม่นยำขนาดนี้ แต่ข้าไม่เห็นจำได้ว่าข้ามีเนื้อสัตว์ให้เจ้ากินด้วย แต่เจ้ากลับจำมันได้ชัดเจน ไม่น่าเชื่อเลย เจ้าเป็นขอทาน สามารถไปหาครอบครัวที่ให้เนื้อเจ้ากินได้ด้วย โชคดีเสียจริง!”
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานดังกึกก้องอยู่ในใจคนบางคนภายในโรงน้ำชาอู่อวิ๋น ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงและขุนนาง แต่มีบางคนที่เกิดในครอบครัวที่ยากจน บางคนที่มีอายุมากหน่อยก็รู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน “ถูกต้อง ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าอยู่ในชนบท ไม่มีเนื้อสัตว์กิน ไม่มีข้าวกิน ข้ากินผักป่าทุกวัน ซุปหนึ่งชาม ไม่ใส่น้ำมันและเกลือ น้ำใสจนเห็นก้นถ้วย!”
หลายคนที่อยู่ตรงนั้นถอนหายใจไม่หยุด ซูจือเยว่มองไปที่กู้เสี่ยวหวานดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ เมื่อเห็นหลิวกุ้ยหย่งที่มีใบหน้าซีดเซียว ในใจของเขาก็แน่ใจแล้วว่าชายผู้นี้โกหก เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธ พร้อมกับคว้าแขนของหลิวกุ้ยหย่งและตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นใคร ใครสั่งให้เจ้าใส่ร้ายองค์หญิงอันผิง ถ้าเจ้าไม่พูดความจริง ก็เตรียมรับโทษหนักได้เลย!”
หลังจากเสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวของซูจือเยว่ หลิวกุ้ยหย่งก็หวาดกลัวจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
ในใจของเขาหวาดกลัวอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงใครบางคนที่เคยบอกตัวตนของบุคคลนี้ให้เขาฟัง เขาก็เอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ “ทำไมหรือ? นายน้อยซูเกิดโทสะหรือ เจ้าดูตัวเจ้าเองสิ มันไม่น่าสมเพชหรืออย่างไร ข้าบอกแล้วไงว่าหญิงผู้นี้ คร่ำครวญอยู่ใต้ร่างของข้าไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เจ้ายังชอบดอกไม้ที่แตกสลายนี้อยู่อีกหรือ”
ใบหน้าของซูจือเยว่แดงก่ำขึ้นด้วยความโกรธ “ไอ้สารเลว!”
ซูจือเยว่ตะโกนเสียงดังพร้อมกับยกแขนขึ้นสูงและออกหมัดชกหลิวกุ้ยหย่ง คลื่นแห่งความโกรธทะยานพุ่งขึ้นสูง หลิวกุ้ยหย่งเงยหน้าขึ้นและเห็นซูจือเยว่เดินเข้ามาด้วยความแค้น เขาพยายามเฝ้าบอกตัวเองว่าเขาไม่กลัว แต่นั่นอาจเป็นเรื่องโกหก เขาอยากจะลุกขึ้นจนตัวสั่น แต่ซูจือเยว่จ้องมองมาที่เขา และเตะเขาซ้ำ
ร่างของหลิวกุ้ยหย่งกระแทกกับเสาจากนั้นก็ล้มลงที่พื้น
หลิวกุ้ยหย่งกระอักเลือดออกมา เขาเช็ดเลือดที่ไหลออกมาและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “หญิงที่ผ่านมือชายมาอย่างโชกโชน เจ้ายังคาดหวังอะไรอยู่อีกหรือ!”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ซูจือเยว่ก็หยุดฝีเท้า
เขาจ้องมองไปที่หลิวกุ้ยหย่งที่ยังคงตีฝีปากในขณะที่กำลังจะตาย และจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นฟังดูคุ้นเคยมาก จากนั้นดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟและกำปั้นของเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ความโกรธในดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะแผดเผาทั่วทั้งโลก ตอนนี้หลิวกุ้ยหย่งตื่นตระหนกอย่างมาก
ซูจือเยว่กำมือแน่น เส้นเลือดที่หลังมือปูดโปนออกมา เขามองไปที่หลิวกุ้ยหย่งราวกับกำลังมองดูเหยื่อที่กำลังจะตาย
หลิวกุ้ยหย่งตื่นตระหนก เขารีบมองไปที่กู้ซินเถา แต่กู้ซินเถากลับเบือนหน้าหนี และไม่ได้มองมาที่เขาเลย เขาจ้องมองอยู่แบบนั้น ราวกับว่ารอให้นางหันมาสนใจตนเอง
กำปั้นของซูจือเยว่ถูกยกขึ้นสูง หากมันกระแทกเข้ากับหน้าของเขา หากไม่ตายเขาก็คงได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเตียง!
หลิวกุ้ยหย่งกระวนกระวายและรีบตะโกน “อย่านะ!”
เมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของซูจือเยว่ในขณะนี้ กู้เสี่ยวหวานก็คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ฆ่าหนึ่งชีวิตเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมหรือ!
ถ้าวันนี้ซูจือเยว่ฆ่าชายคนนั้นจริง ๆ ภายใต้สายตาที่จับตามองของทุกคน ชีวิตของเขาอาจจะพังพินาศ!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รีบวิ่งไปข้างหน้าและคว้ามือของซูจือเยว่โดยไม่ได้คิดถึงระยะห่างของชายหญิง และตะโกนว่า “นายน้อยซู อย่า!”
ซูจือเยว่จะปล่อยให้คนนอกใส่ร้ายกู้เสี่ยวหวานแบบนี้ได้อย่างไร แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ เขาก็ไม่สนใจ! แต่เขาไม่อนุญาตให้คนอื่นใส่ร้ายนาง!
มือของกู้เสี่ยวหวานนั้นนุ่มเหมือนก้อนสำลี และนางก็จับมือของซูจือเยว่เอาไว้
ซูจือเยว่รู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลเวียนอยู่ในตัวเขา มือของนางที่มาคว้ามือของเขาเอาไว้ ไม่เพียงแต่กุมมือของเขา แต่ยังกุมหัวใจของเขาด้วย
ซูจือเยว่เพิ่งรู้สึกว่าลมหายใจของเขาหยุดนิ่ง มือของเขาผ่อนคลายลงเนื่องจากความใกล้ชิด และกลิ่นหอมจาง ๆ บนร่างกายของกู้เสี่ยวหวาน กลิ่นที่แตะปลายจมูกของเขาทำให้ร่างกายและความคิดของเขาหยุดนิ่ง!
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานหยุดการเคลื่อนไหวของซูจือเยว่ได้แล้ว นางก็ปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว “นายน้อยซู ท่านต้องไม่ฆ่าคนคนนี้ คนแบบนี้ มันไม่คุ้มที่จะทำให้มือของท่านสกปรก!”
ความอ่อนนุ่มบนหลังมือหายไปอย่างรวดเร็ว และแม้แต่กลิ่นก็อ่อนลงมากเพราะระยะห่างของนาง
ซูจือเยว่รู้สึกผิดหวังอยู่พักหนึ่ง แต่เขาก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อยกับความกังวลของกู้เสี่ยวหวานที่มีต่อเขา “องค์หญิง…”
แต่เมื่อเขาคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนี้กับกู้เสี่ยวหวาน ก็แอบคิดว่านางไม่อยากจะทำร้ายชายผู้นี้หรือไม่ มันทำให้ความสุขในใจของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง!