ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2105 ตกปลาตัวใหญ่
บทที่ 2105 ตกปลาตัวใหญ่
ฉินเย่จือไม่พูดอะไร เขาต้องการกลับไปที่เมืองหลวง แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะจากไปแบบง่าย ๆ!
เพราะหนานหลิงเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว!
หากมองจากภายนอก หนานหลิงกำลังอยู่ในความสงบ ผู้คนสงบสุข และสภาพแวดล้อมดี มีเพียงผู้ที่มีประสบการณ์เท่านั้นที่รู้ว่าความเงียบสงบทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่เปลือก
กระแสน้ำกำลังเชี่ยวกรากและมีคลื่นมากมายอยู่ใต้ผิวน้ำที่สงบ เพียงแค่รอที่จะแสดงขึ้นถึงเหนือผิวน้ำเท่านั้น!
อดีตฮ่องเต้แห่งหนานหลิงสิ้นพระชนม์!
พระองค์มีอายุไม่มากนัก อดีตฮ่องเต้แห่งหนานหลิงพระชนมายุเพียงแค่ห้าสิบปี และยังมีสุขภาพแข็งแรง เมื่อข่าวการสวรรคตของพระองค์แพร่ออกไปอย่างกะทันหัน แม้แต่ฉินเย่จือก็รู้สึกแปลกใจ!
หลังจากที่ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์ก็ได้กลายเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากที่สุดของชาวหนานหลิง และกระทบมาถึงต้าชิง!
ฉินเย่จือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็เขียนจดหมายด้วยพู่กัน เสร็จแล้วก็ผูกจดหมายไว้กับโม่เกอให้โบยบินขึ้นไปเหนือท้องฟ้า
เขาเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่าน เมื่อเขาได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหวานเอ๋อร์ จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และหัวใจของเขาเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับหวานเอ๋อร์
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนใส่ร้ายหวานเอ๋อร์และเขาก็รู้แล้วว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร
เมื่อเห็นว่านายท่านไม่ได้พูดอะไร อาโยว่จึงก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “นายท่าน อยากกลับไปหรือไม่ คุณหนู…”
ฉินเย่จือไม่พูดอะไร เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่โม่เกอโบยบินไปและยังคงอยู่ในความเงียบ
อาโย่วก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวและยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เขารู้อยู่แก่ใจว่านายท่านต้องการกลับไปยังเมืองหลวงในตอนนี้เพื่อสะสางเรื่องนี้ให้คุณหนู
คนที่อยู่ในหัวใจของเขากำลังถูกคนอื่นใส่ร้าย นายท่านคงอยากจะฉีกคนพวกนั้นเป็นชิ้น ๆ
ฉินเย่จือเห็นโม่เกอหายไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็ถอนสายตาของเขาออกมาจากความกังวลในตอนแรก จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมา “เก็บของและเตรียมตัวไปพระราชวังเพื่อไว้ทุกข์!”
เป็นเวลาสามวันแล้วที่กู้เสี่ยวหวานได้รับจดหมายของฉินเย่จือจากพิราบสื่อสาร ในช่วงสามวันที่ผ่านมานางไม่ได้ออกไปไหนและนางแค่อ่านหนังสือและฝึกคัดลายมือที่บ้าน
เมื่อถานอวี้ซูรู้เรื่องนี้เข้า นางก็รีบออกจากวังเพื่อไปหากู้เสี่ยวหวานทันที แต่นางกลับเห็นกู้เสี่ยวหวานยังคงฝึกคัดลายมืออย่างใจเย็น
ลายเส้นของกู้เสี่ยวหวานดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว!
เมื่อเห็นว่านางยังมีเวลาฝึกคัดลายมือ ถานอวี้ซูก็พูดกับกู้เสี่ยวหวานอย่างกังวล “ท่านพี่ ท่านยังมีอารมณ์มาขีดเขียนอยู่อีกหรือ! ตอนนี้เรื่องของท่านสะพัดไปทั่วเมืองหลวง คนคนนั้นคือใคร เขาจะรู้เรื่องท่านมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”
“ไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้แล้วหรือ” หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานเขียนเสร็จ ถานอวี้ซูก็เอาพู่กันออกจากมือของนาง กู้เสี่ยวหวานหยิบงานเขียนตรงหน้านางขึ้นมา และเห็นว่าหมึกด้านบนมันยังเปียกอยู่ นางเป่ามันสองครั้งแล้ววางลงในแนวราบอีกครั้ง
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ มันกระจายไปทั่ววัง ไทเฮาต้องรู้เรื่องนี้มานานแล้ว ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาซูหมิ่นก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในวัง นางฉวยโอกาสที่ข้าไม่อยู่ ไปหาไทเฮาทุกวัน เมื่อข้าเห็นนาง นางก็ทำท่ามีชัย ข้าไม่รู้ว่านางไปพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับท่านพี่ให้ไทเฮาฟัง!” เมื่อถานอวี้ซูคิดถึงท่าทางแห่งชัยชนะที่ซูหมิ่นแสดงออก นางก็คว่ำปากด้วยความไม่พอใจ
พระเจ้ารู้ว่านางพูดอะไรต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา ถานอวี้ซูคิดว่านางต้องหาโอกาสที่จะได้อยู่กับไทเฮาตามลำพังแล้วสอบถามให้แน่ชัด แต่นางก็ได้พูดถึงกู้เสี่ยวหวานเป็นครั้งคราว และสังเกตอาการของไทเฮาว่าพระองค์มีปฏิกิริยาอย่างไร
ซึ่งทุกครั้งที่นางพูดถึงกู้เสี่ยวหวาน สีหน้าของไทเฮาก็เหมือนเดิมทุกประการ ดวงตาของพระองค์เต็มไปด้วยความรักและความสงสาร ราวกับว่านางไม่เคยได้ยินคำพูดที่น่าอายของกู้เสี่ยวหวานเลย!
ถานอวี้ซูรู้สึกสงสัยมาก เป็นเพราะซูหมิ่นไม่พูดอะไร หรือไทเฮาทรงไม่เชื่อ หรือไทเฮากำลังตรวจสอบเรื่องนี้!
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ไม่สามารถปกปิดได้ สิ่งที่หลิวกุ้ยหย่งพูดเหมือนโรคระบาด มันแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของกู้เสี่ยวหวาน!
แม้แต่ท่านปู่ยังมาถามหลายครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น!
ถานอวี้ซูกังวลเกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวาน นางจึงอยู่เฉย ๆ ในวังไม่ได้อีกต่อไป นางรีบออกมาจากวังและตรงไปที่สวนชิงโดยที่ยยังไม่ได้กลับไปบ้านของตัวเอง เมื่อนางเห็นท่าทางสงบของกู้เสี่ยวหวาน นางก็ยิ่งเป็นห่วง!
“ข้าไม่เป็นไร! ก็แค่ถูกใครบางคนหาคนมาสวมรอยเพื่อใส่ความข้า!” กู้เสี่ยวหวานพูดเบา ๆ
“หืม? หาคนมาสวมรอย? ใครกัน?” ถานอวี้ซูนึกถึงใครบางคนทันทีและขึ้นเสียง “ซูหมิ่นอีกแล้วหรือ นางกำลังจะแต่งงาน ทำไมนางยังไม่ปล่อยท่านไปอีก ไม่! ข้าจะไปหานาง นางทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร!”
หลังจากที่ถานอวี้ซูพูดจบ นางก็กำลังจะรีบออกไปข้างนอก แต่กู้เสี่ยวหวานคว้านางเอาไว้ได้ทัน และมองขึ้นลงอย่างละเอียด เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของถานอวี้ซู กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะออกมา
“ท่านพี่ ข้ากังวลมาก แต่ท่านยังหัวเราะได้อยู่อีกหรือ! ท่านหัวเราะอะไรกัน!” เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานดูไม่กังวลเลย ถานอวี้ซูจึงพูดด้วยความโกรธ เพราะนอกจากความโกรธแล้ว ยังมีความกังวลอีกด้วย ตาของนางแดงก่ำขึ้นมาทันที!
“ไม่ใช่แค่ซูหมิ่นที่ทำสิ่งนี้ แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องผู้แสนดีของข้าด้วย!” เมื่อเห็นว่าถานอวี้ซูกำลังจะร้องไห้ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้ปิดบังมันจากนางและพูดออกมาตรง ๆ “ข้าไม่รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่ปิ่นในมือของเขาได้รับมาจากกู้ซินเถา!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ปิ่นในมือของคนนั้นก็เป็นของจริง! ปิ่นของข้าก็เป็นของจริงเช่นกัน! เป็นเครื่องประดับที่ทำขึ้นโดยปรามาจารย์โจว!”
กู้เสี่ยวหวานกล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้กู้ซินเถาให้เครื่องประดับแก่ข้า ข้าจึงไปหาโจวหมิงเซวียนให้เขาช่วยทำปิ่นอันใหม่ให้ข้าซึ่งเหมือนกับอันที่อยู่ในมือของกู้ซินเถา!”
“ใครคือโจวหมิงเซวียน” ถานอวี้ซูถามทันทีเมื่อนางได้ยินชื่อ
“เขาเคยเป็นเจ้าของร้านอัญมณีในเมืองรุ่ยเสียน เครื่องประดับที่ขายในร้านเป็นฝีมือของเขาเองทั้งหมด ข้าเห็นว่าเขามีพรสวรรค์นี้ จึงชวนเขามาที่เมืองหลวงเพื่อทำเครื่องประดับ และข้าจะเป็นผู้จัดหาวัสดุทั้งหมดให้แก่เขา ข้ารับผิดชอบในการผลิตและข้าได้แอบเผยแพร่ฝีมือของเขาสองสามครั้งแล้วมีคนซื้อสิ่งที่เขาทำในราคาสูง!”
“ถ้าเช่นนั้นเขาก็เป็นคนของท่านล่ะสิ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปิ่นถึงสามารถทำแบบเดียวกันได้!” ถานอวี้ซูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินว่าโจวหมิงเซวียนเป็นคนของกู้เสี่ยวหวาน
เพราะท้ายที่สุดแล้วปิ่นที่อยู่ในมือท่านพี่ของนางนั้นเป็นของจริง ฉะนั้นปิ่นที่อยู่ในมือของชายคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม นั่นก็แสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งของที่ท่านพี่เสี่ยวหวานเป็นผู้มอบให้เขา!