ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2106 ท่านก็รู้จักฉินเย่จือหรือ
บทที่ 2106 ท่านก็รู้จักฉินเย่จือหรือ
“ในเมื่อท่านพี่รู้ว่าในตอนนั้นกู้ซินเถากำลังใส่ร้ายตนเอง เหตุใดถึงไม่แฉนางกลับเสียเลยล่ะ?” ถานอวี้ซูยังคงเป็นกังวล ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ากู้ซินเถาต้องการทำอะไร เหตุใดถึงไม่เปิดโปงเสียตั้งแต่ตอนนี้ “นางกล้าใส่ร้ายน้องสาวของตนเองได้อย่างไร!”
ถานอวี้ซูสถบอย่างโกรธเคือง กู้เสี่ยวหวานดึงอีกฝ่ายให้นั่งลงและปลอบโยน “อวี้ซู เจ้าเคยได้ยินคำที่ว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่งหรือไม่?”
“แน่นอน ข้าเคยได้ยิน!”
“หนามยอกเอาหนามบ่ง ถ้าต้องการเอาคืนนางก็ควรรอให้นางล้มลงเสียก่อน และเหยียบนางซ้ำจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ ข้ารู้ดีว่านางมีแผนการในใจ และข้าก็จงใจเล่นไปตามน้ำ! ข้ารู้ความคิดทุกอย่างของกู้ซินเถา ตอนนี้ข้ารอเพียงแต่โอกาส! ข้าจะทำให้นางละอายจนไม่กล้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้!”
กู้เสี่ยวหวานยกถ้วยชาร้อนกรุ่นขึ้นเปา
ถานอวี้ซูจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความงุนงง เมื่อควันจากถ้วยชาจางหายก็เผยให้เห็นความมั่นใจและโหดเหี้ยมฉายชัดบนใบหน้านั้น ดังนั้นางจึงรู้สึกโล่งใจ
“เอาล่ะ ท่านพี่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใด ก็บอกข้าได้เลย! ถอนรากถอนโคนเสียตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่เป็นการสร้างปัญหาในอนาคต!”
หลิวกุ้ยหย่งยังถูกขังอยู่ในคุก ไม่มีคนเข้ามาเยี่ยมเยือน ไม่มีคนสอบปากคำเขา เขาจึงถูกขังเอาไว้เพียงลำพัง
เขาเป็นแขกประจำของห้องคลุมขังมานานแล้ว และตอนนี้เขาก็กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ซึ่งเขามีความสุขและคุ้นชินกับสถานการณ์เหล่านี้ดี ไม่รู้สึกรู้สากับการถูกขังเอาไว้ในห้องขังแบบนี้
เมื่อซูหมางเห็นท่าทางพึงพอใจของอีกฝ่าย ก็อยากจะสั่งลงโทษอีกฝ่ายให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่กู้เสี่ยวหวานบอกให้ขังเขาเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งลงมือกับคนผู้นี้เด็ดขาด และไม่ต้องให้ความสนใจเขา
ตอนนั้นซูหมางแปลกใจและรู้สึกงุนงง เห็นได้ชัดว่าหลิวกุ้ยหย่งคนนี้ไม่ใช่ฉินเย่จือ เขาถูกใครบ้างคนวานจ้างมาใส่ร้ายกู้เสี่ยวหวาน เหตุใดถึงไม่ให้เขาสอบปากคำหลิวกุ้ยหย่งล่ะ
นางมีแผนอะไรกันแน่?
ครั้นเห็นซูหมางมองไปที่หลิวกุ้ยหย่งด้วยความงุนงง ผู้คุ้มด้านข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ใต้เท้าซู ชายคนนี้คือฉินเย่จือที่ใส่ร้ายองค์หญิงอันผิงที่โรงน้ำชาครั้งก่อน!”
“เหลวไหล!” ซูหมางตวาดเสียงดังลั่น เขาเคยเป็นผู้คุมนักโทษที่ภูเขาหมินซาน นักโทษมากมายผ่านมือเขามาไม่น้อย เพียงแค่ตะโกนเสียงดังนิดหน่อยก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว
ดวงตากลมโตราวกับระฆังทองแดงจ้องเขม็งผู้คุมนั้น เพียงสายตาที่มองก็ทำให้เขารู้สึกราวกับร่างกายถูกบีบรัด กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแข็งเกร็งพร้อมแหลกสลาย
ผู้คุมผู้นั้นไหนเลยจะเคยเห็นสายตาเช่นนี้ของซูหมาง ใบหน้าดุร้ายราวกับภูตผีปีศาจ ทำเอาเขาหวาดกลัวจนขาแข้งอ่อนแรง และทรุดลงอย่างช้า ๆ
เมื่อกำลังจะเอ่ยร้องขอความเมตตา ซูหมางเพียงแค่นเสียงเย็น และหมุนกายเดินจากไป! ทิ้งร่างสูงกำยำไว้ข้างหลัง เมื่อบรรยากาศรอบตัวเริ่มดีขึ้น ผู้คุมลอบเช็ดเหงื่อเย็นบริเวณหน้าผาก ผู้คุมอีกคนรีบปรี่เข้ามาประคองเขาขึ้น หัวใจของเขาหวาดกลัวแทบตาย “ใต้เท้าซูเป็นอะไรไป? ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไร เหตุใดถึงหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนี้!”
พวกเขาต่างแก้ตัวให้ลูกพี่ของตนเอง แต่เขาจะกล้ายอมรับมันได้อย่างไร ดังนั้นจึงหันกลับไปมองหน้าผู้คุมอีกฝ่ายด้วยสายตาตำหนิ ทำให้ผู้คุ้มอีกคนปิดปากฉับ
ซูหมางเดินออกมาไกล เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวาน เขาก็เริ่มรู้สึกลนลานขึ้น หากมีใครกล้าแตะต้องกู้เสี่ยวหวานแม้แต่ปลายเส้นผม เรื่องนี้จะเข้ามาพัวพันกับเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขาพยายามปกปิดบางอย่างไว้ในใจ และเตรียมตัวออกจากกองกำลังรักษาความสงบ ระหว่างเดินไปเรื่อย ๆ ก็ได้ยินใครบางคนเรียกตนเอง
“ใต้เท้าซู…ใต้เท้าซู…”
ซูหมางเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลี่ฝานยืนอยู่ที่ประตูพลางโบกมือให้ตนเอง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเห็นตนเองแล้วก็รีบวิ่งเข้ามา “ใต้เท้าซู…”
“เถ้าแก่หลี่!” ซูหมางประสานมือทักทายอีกฝ่าย
“กว่าจะได้พบใต้เท้าซูนั้นไม่ง่ายเลย ประจวบเหมาะที่ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี เหตุใดท่านไม่ไปร้านของข้าล่ะ” หลี่ฝานชักชวน
ครั้นได้ยินเช่นนี้ซูหมางก็รู้ว่าท้องตนเองกำลังส่งเสียงร้องประท้วง ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ลังเล “ตกลง!”
หลี่ฝานพาซูหมางเข้าไปในห้องรับรอง ทันทีที่เขานั่งลงประจำที่ ลูกจ้างในร้านเข้ามารินชาให้เขาฉับไว พร้อมกลับหลี่ฝานที่กลับมาจากห้องครัว
ซูหมางเห็นว่าหลี่ฝานปลีกตัวมาจากการดูแลร้าน และเสียสละมาดูแลตัวเองจึงรีบพูดว่า “เถ้าแก่หลี่ ภายในร้านท่านยังมีแขกอีกมากมาย ท่านไม่จำเป็นต้องมาดูแลข้าก็ได้!”
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!” หลี่ฝานนั่งลงและรินชาอีกจอกให้ซูหมาง “ใต้เท้าซูสามารถสละเวลาอันมีค่ามาที่นี่ วันนี้ข้าจะต้องอยู่เป็นเพื่อนท่าน!”
ทั้งสองนั่งคุยเรื่องของกู้เสี่ยวหวานอยู่ครู่หนึ่ง เพราะทั้งคู่ต่างรู้จักกู้เสี่ยวหวานทั้งคู่
“พูดตามตรงใต้เท้าซู ข้ารู้จักเสี่ยวหวานมานานกว่าที่ฉินเย่จือรู้จักเสี่ยวหวานเสียอีก!” หลี่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนั้น นางมาที่ร้านอาหารของข้า สภาพของนางตอนนั้นมอมแมมดูไม่ได้เลยทีเดียว บอกว่าจะมาขายสูตรอาหารข้า ในเวลานั้น เหมียวเอ้อร์อดีตคนทำบัญชีร้านข้า ขับไล่นางออกไปเพราะความรังเกียจ โชคดีที่ลูกจ้างอีกคนของข้ารั้งนางไว้ และโชคดีที่ข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย เกรงว่าถ้าตอนนั้นนางออกไปก่อนข้าคงถูกร้านค้าอื่นแย่งตัวไปแล้ว วันนี้เราคงไม่มีร้านนี้อย่างแน่นอน”
“องค์หญิงอันผิงมีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาด ข้ารู้สึกชื่นชมนางมาก จิตใจของนางนิ่งสงบ ไม่อ่อนแอแต่ก็ไม่แข็งกระด่าง นับว่าโดดเด่นยิ่งนัก!” ซูหมางชมเชย
“ข้าพบเห็นฉินเย่จือมาก่อน หน้าตาของเขาหล่อเหลา ต่างจากชายคนนั้น เขากับเสี่ยวหวานเปรียบดั่งคู่สวรรค์สร้าง ยิ่งกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นดีมาก ฉินเย่จือปกป้องเสี่ยวหวานดังชีวิต และเสี่ยวหวานก็ปฏิบัติต่อฉินเย่จืออย่างดี สองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นจึงไม่มีใครมาแทนที่ได้!” หลี่ฝานกล่าวด้วยแรงอารมณ์
ซูหมางจิบชาพลางชำเลืองมองหลี่ฝานแล้วพูดว่า “เถ้าแก่หลี่เคยเจอ… ฉิน…”
เมื่อซูหมางเอ่ยและก็หยุดชะงัก “ท่านเคยพบกับฉินเย่จือแล้วหรือ?”
“แน่นอน ข้าเคยเจอเขามาก่อน ตอนข้าเปิดร้านอาหารในเมืองหลวง ข้าก็ชวนเขามาที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง!” หลี่ฝานพยักหน้า
ซูหมางตอบ “ถ้าอย่างนั้น เถ้าแก่หลี่ก็สามารถเป็นพยานได้ เนื่องจากสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์หญิงอันผิง คดีนี้จึงต้องได้รับการพิจารณาคดีอย่างรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ขององค์หญิง ข้าหวังว่าเถ้าแก่หลี่จะอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยาน!”