ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2139 คิดดอกเบี้ยเล็กน้อย
บทที่ 2139 คิดดอกเบี้ยเล็กน้อย
ตอนนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจมากขนาดนั้น กู้ฉวนลู่จึงไปหาซื่อจื่อเพียงคนเดียวแล้วอธิบายก่อน
กู้ฉวนลู่วิ่งไปถึงโรงน้ำชาอู่อวิ้นบอกว่าต้องการพบซื่อจื่อ
เถ้าแก่เซี่ยวรู้จักกู้ฉวนลู่ พอเห็นเขามาอย่างรีบร้อนก็ถากถางว่า “หย๊า ที่แท้ก็เป็นคุณชายกู้ที่มา ท่านเลี้ยงดูลูกสาวมาอย่างดี จนท่านมีหน้ามีตา ลูกสาวเจ้าขายเรือนร่าง เจ้าก็ได้มาไม่น้อยล่ะสิ?”
กู้ฉวนลู่โมโหเถ้าแก่เซี่ยวจนแทบทนไม่ไหว แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ต้องก้มหัวอดทน นอกจากนี้เถ้าแก่เซี่ยวผู้นี้ยังได้รับความชอบจากซื่อจื่อมาก ถ้าหากล่วงเกินเขาเข้าแล้วพูดคำที่ไม่น่าฟังให้ซื่อจื่อฟังไม่กี่ประโยค เรื่องนี้ก็ยิ่งยากที่จะจัดการแล้ว
ดังนั้นกู้ฉวนลู่จึงยิ้มเข้าสู้ทันทีว่า “เถ้าแก่เซี่ยว…เจ้าดูนี่สิ…นี่ โธ่ เจ้าไม่รู้อะไรเลยว่าข้าก็ไม่รู้เรื่อง เจ้าก็รู้ว่าข้าหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวอยู่ด้านนอกทั้งปี เรื่องที่เลี้ยงดูลูกสาวนี้ตกอยู่ที่ผู้หญิงสมควรตายผู้นั้น จะไปรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนนั้นจะชอบความฟุ้งเฟ้อโอ้อวดความร่ำรวย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะเลี้ยงดูลูกสาวของข้าจนตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้ ช่างเป็นดาวหายนะของตระกูลกู้ข้าเสียจริง!”
กู้ฉวนลู่ผลักความผิดทั้งหมดไปไว้ที่ซุนซีเอ๋อร์ ในคำพูดเห็นแต่ความจงเกลียดจงชังต่อซุนซีเอ๋อร์ และยังมีความเสียใจต้องกู้ซินเถา ท่าทางเหมือนกับว่าเป็นบิดาที่บกพร่องต่อหน้าที่ การพูดการจาและท่าทางเต็มไปด้วยความอับอายที่พวกนางสองคนแม่ลูกหลอกลวงผู้อื่น
พอเถ้าแก่เซี่ยวเห็นว่ากู้ฉวนลู่ผลักความผิดออกไปจนสะอาดเกลี้ยง จึงหัวเราะเหอะ ๆ แล้วดึงมุมปากเหน็บแนมเป็นพิเศษ “งั้นรึ? นายท่านกู้ช่างโชคร้ายเสียจริง แต่งงานกับดาวหายนะแล้วให้กำเนิดสตรีที่สำส่อนใจง่าย ไม่เพียงแต่ใส่ร้ายชื่อเสียงขององค์หญิงอันผิง แต่หลังจากนั้นยังกล่าวโทษและนำเมล็ดพันธุ์ชั่วช้าของขอทานผู้นั้นที่ทิ้งเอาไว้มาทำให้ซื่อจื่อแปดเปื้อนด่างพร้อย นายท่านกู้ เจ้าพูดตลอดว่าเจ้าไม่รู้เรื่อง แต่ว่านั่นเป็นลูกสาวของเจ้า ตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามาพบซื่อจื่ออีกรึ?”
กู้ฉวนลู่เห็นว่าเถ้าแก่เซี่ยวไม่ปล่อยให้ผ่านไป ก็ร้อนรนกระวนกระวายเหมือนมดบนกระทะร้อน คิดอยากจะพุ่งเข้าใส่ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นเถ้าแก่เซี่ยวจะพูดคำที่ไม่น่าฟังต่อหน้าซื่อจื่อ ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มเข้าสู้อยู่ตลอดและคอยติดตามพูดคุยกับเถ้าแก่เซี่ยว
“เถ้าแก่เซี่ยว เจ้าดูข้าสิ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอโทษซื่อจื่อ แม่ลูกสองคนนั้นทำเรื่องที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ข้าที่เป็นบิดาก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงคำตำหนิได้ ข้าไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกนางจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ถ้าหากข้ารู้ให้ตายก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกนางทำเช่นนี้แน่! เถ้าแก่เซี่ยว เห็นแก่เจ้าและข้าที่เป็นเพื่อนกัน ขอร้องเจ้าล่ะ ให้ข้าไปพบซื่อจื่อที!” กู้ฉวนลู่อ้อนวอนและเกือบจะคุกเข่าให้เถ้าแก่เซี่ยว
เถ้าแก่เซี่ยวรู้ว่าตอนนี้ซูหลินกำลังยุ่งอยู่ พอเห็นกู้ฉวนลู่ดื้อดึงอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปเหมือนสุนัขขี้เรื้อน สีหน้าก็เปลี่ยนทันที “เจ้าจะไปไม่ไป? อย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าจะยังเป็นคนที่ซื่อจื่อชื่นชอบเหมือนเมื่อก่อนหน้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะให้คนไล่เจ้าออกไป ยืนอยู่ตรงนี้มีผลกระทบต่อกิจการข้า ศักดิ์ศรีหน้าตาของตระกูลกู้เจ้าตอนนี้ก็เหมือนกับมูลในหลุมส้วม เหม็นจะตายอยู่แล้วยังไม่รีบไปอีก!”
กู้ฉวนลู่ถูกเถ้าแก่เซี่ยวด่าทอเช่นนี้สีหน้าก็เขียวคล้ำทันที แต่ว่าเขาก็ยังไม่กล้าล่วงเกินเถ้าแก่เซี่ยว ยังคงอดทนต่อความโกรธแล้วออกจากโรงน้ำชาอู่อวิ้น
ด้านหลังนั้นเป็นพวกเสี่ยวเอ้อร์ที่ไล่เขาออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง
กู้ฉวนลู่ไม่ได้พบซื่อจื่อ อีกทั้งยังหากู้จือเหวินไม่พบ ตอนนี้จึงยิ่งร้อนรนกระสับกระส่ายจนนั่งไม่สงบ
เถ้าแก่เซี่ยวเห็นว่ากู้ฉวนลู่จากไปแล้วจึงรีบขึ้นไปชั้นบน พอมาถึงห้องโถงที่ซูหลินมักนั่งอยู่บ่อย ๆ ก็ผลักประตูเข้าไป “ซื่อจื่อ ท่านเดาได้ถูกแล้ว กู้ฉวนลู่ผู้นั้นช่างหน้าด้านมากเสียจริง”
ในอ้อมแขนของซูหลินนั้นกำลังโอบสาวงามคนใหม่ที่โปรดปรานเมื่อไม่นานมานี้ โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนคลอเคลียกันอย่างสนิทชิดเชื้อ เสื้อผ้าบนร่างของสตรีผู้นั้นก็หลุดรุ่ยจนถึงหัวไหล่ ด้านบนนั้นมีรอยจูบฟกช้ำสีม่วงอมเขียว เถ้าแก่เซี่ยวเห็นแล้วก็ได้แต่ทำเหมือนว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“หึ ของไร้ยางอาย ไม่คิดว่าจะเป็นสตรีที่ขาดรุ่งริ่งมีตำหนิ พอคิดว่าถูกคนชั้นต่ำขายเรือนร่างหลอกลวงแสร้งทำเป็นบริสุทธิ์แล้ว ข้าก็โกรธจนอัดแน่นเต็มท้อง กู้ฉวนลู่ยังมาหาที่บ้านบอกว่าเด็กในท้องคนชั้นต่ำผู้นั้นเป็นของข้า ถุ้ย… สินค้าที่เน่าเสีย คาดไม่ถึงว่าจะยังมีหน้ามาที่บ้านอีก” ซูหลินพูดด้วยสีหน้าที่โกรธ
สาวงามที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าซูหลินโกรธแล้ว จึงรีบหยิบองุ่นเม็ดกลมมาลอกเปลือกด้านนอกออก จากนั้นก็ส่งเข้าปากซูหลิน น้ำเสียงนั้นก็ยิ่งนุ่มนวลราวกับต้นหลิวที่อยู่ริมแม่น้ำ “ซื่อจื่อ ท่านอย่าโกรธเลย!”
“ข้าไม่โกรธ ข้าไม่โกรธ คนงามอย่างเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าจะโกรธได้อย่างไรกันเล่า? ตอนนี้ถูกสุนัขชั้นต่ำกัดแล้วเท่านั้น เป็นแค่สุนัขชั้นต่ำ ข้าตีให้ตายก็จบแล้ว!” ซูหลินรับองุ่นที่สาวงามคนนั้นส่งมา ทว่ากลับไม่ได้กินเข้าไปทั้งหมด แต่กัดแค่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็เอาเข้าไปใกล้สาวงามตรงหน้าผู้นั้น สาวงามคนนั้นก็เข้าใจจึงยิ้มอย่างออดอ้อน เข้าไปใกล้และกัดองุ่นอีกครึ่งหนึ่งนั้น
บางทีอาจจะตั้งใจ สาวงามคนนั้นจงใจอ้าปากกว้างและงับกลีบปากของซูหลินเข้าไปในปาก
ซูหลินยิ้มและกอดคนงามคนนั้นเข้าไปในอ้อมแขน องุ่นและกลีบปากของคนงามถูกกลืนเข้าไปในท้องอย่างหมดเปลือก
ทั้งสองหยอกล้อกัน เถ้าแก่เซี่ยวนั้นดูเหมือนจะเห็นมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จึงพูดต่ออย่างสงบนิ่งราวกับไม่เห็นอะไรเลยว่า “ซื่อจื่อ ต่อไปนั้นกู้ฉวนลู่และกู้จือเหวินจะจัดการอย่างไร? เพื่อที่จะจัดการกับกู้เสี่ยวหวานแล้ว ตอนนั้นท่านได้รับปากทุกอย่างไว้กับคนต่ำต้อยผู้นั้น ตอนนี้กู้ฉวนลู่และกู้จือเหวินเองก็ได้จัดการอย่างเหมาะสม ท่านว่าจะขับไล่พวกเขาออกจากเมืองหลวงหรือไม่?”
“อย่าเพิ่งรีบ…” ซูหลินขบริมฝีปากของคนงามอย่างแรง กลีบปากที่กัดของคนงามผู้นั้นจึงบวมขึ้นมาและร้องขอความเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่า ซูหลินจึงยอมแพ้แล้วเช็ดริมฝีปากพูดว่า “คนชั้นต่ำผู้นั้นเล่นกับข้าเช่นนี้ ข้าก็ควรจะเล่นกับครอบครัวของนางให้ดี ๆ ใช่หรือไม่? อย่างไรเสียคนชั้นต่ำผู้นั้นตอนนี้ก็เสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว ยิ่งไปจัดการอีกกลับดูเหมือนว่าข้าจะลำเอียง ไม่สู้ไปจัดการกับสองพ่อลูกนั้นให้ดี ๆ ก็ถือเสียว่าคิดดอกเบี้ยจากพวกเขาเล็กน้อย เหล่าเซี่ยว เจ้าว่าพูดถูกหรือไม่?”
เถ้าแก่เซี่ยวพยักหน้าว่า “ซื่อจื่อมีเมตตา!”
คนงามผู้นั้นถือว่าช่วงนี้ตัวเองได้รับความโปรดปรานจากซูหลินมาก จึงอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของซูหลินพลางยิ้มถามอย่างออดอ้อนว่า “ซื่อจื่อวางแผนจะจัดการสองพ่อลูกนั้นอย่างไรกัน?”
ซูหลินยิ้ม ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู พลางโอบกอดคนงามไว้ทรมานอีกสักรอบ พอตอนที่เขาหันหน้ากลับ เถ้าแก่เซี่ยวก็เห็นรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมของซูหลินปรากฏออกมา เถ้าแก่เซี่ยวรู้สึกเพียงแค่ว่าแผ่นหลังนั้นเย็นวาบ เขาจะยังกล้าอยู่ต่อเสียที่ไหน อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาจึงรีบขอตัวลาจากไป