ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2140 ความลับที่ผู้อื่นไม่รู้
บทที่ 2140 ความลับที่ผู้อื่นไม่รู้
เมื่อเห็นว่าคนที่เกะกะจากไปแล้ว ซูหลินก็หัวเราะและใช้ลิ้นละเลียดจูบที่ติ่งหูคนงาม คนงามผู้นั้นหายใจหอบถี่ “คนงาม เจ้าอยากรู้จริงหรือ?”
คนงามผู้นั้นร่างกายอ่อนปวกเปียกนอนอยู่บนตั่งด้วยสายตาพร่ามัว แขนคู่หนึ่งเลื่อนไปเกาะเกี่ยวบนลำคอของซูหลินและพูดอย่างเขินอายว่า “ข้าอยากรู้เจ้าค่ะ!”
“ได้ ในเมื่ออยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้า!” ซูหลินหัวเราะหึ ๆ ใบหน้ามีความตื่นเต้นแวบผ่าน คนงามผู้นั้นเห็นซูหลินหัวเราะก็หัวเราะตามและปีนป่ายขึ้นไปจูบเขา
ทันทีที่จูบปากของซูหลิน ก็เห็นซูหลินพลิกตัวคนงามอย่างกะทันหัน ปล่อยให้นางนอนหงายหลังอยู่บนตั่งตัวเอง ฝ่ามือใหญ่ก็รูปไล้ไปทั่วร่างกายของคนงาม ยั่วเย้าให้คนงามผู้นั้นงอแงและทั่วทั้งห้องโถงก็จมดิ่งอยู่ในความวาบหวามทันที
หลังจากที่เถ้าแก่เซี่ยวออกมาจากในห้องโถงนั้นก็เช็ดเหงื่อบนหัว สายตาของซูหลินเมื่อครู่นี้ทำให้เขาหวาดกลัวจนเหงื่อแตกออกมา
ต้องรู้ว่าซื่อจื่อผู้นี้ แม้ว่าใบหน้าจะดูแล้วหล่อเหลาสง่างาม แต่ว่าลับหลังฝีมือเล่ห์เหลี่ยมนั้นร้ายกาจนัก ตระกูลกู้เองก็โชคร้ายที่กล้าหลอกลวงซื่อจื่อ เกรงว่าความตายนั้นคงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าหากไม่ตาย ซื่อจื่อก็รู้วิธีการทรมานคนจนนับไม่ถ้วน วิธีการนั้นโหดเหี้ยมชั่วร้ายจนไม่สู้ตายไปเสียดีกว่า
เถ้าแก่เซี่ยวคิดเช่นนี้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เสียงที่กรีดร้องนั้นดังออกมาทำให้เขาตกใจจนทรงตัวไม่อยู่และเกือบจะตกบันได จึงรีบจับราวบันไดไว้ไม่ให้เหยียบความว่างเปล่า
เสียงที่กรีดร้องโหยหวนนั้นดังมาจากห้องโถงของซูหลิน พอฟังเสียงนั้นที่แม้ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นเสียงแหลม แต่เขาก็ฟังออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเสียงของคนงามคนนั้นเมื่อครู่นี้
เถ้าแก่เซี่ยวรู้สึกเสียววาบที่แผ่นหลัง พอเห็นว่ามีคนชั้นล่างมองมาตรงนี้ เถ้าแก่เซี่ยวก็รีบยิ้มและพูดว่า “ด้านหลังกำลังฆ่าห่านอยู่ ห่านตัวนั้นร้องเสียงดังไปหน่อย!”
แขกทุกคนจึงเข้าใจและก็ไม่ได้สนใจอีก
ต่อมาด้านบนนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก พอคิดขึ้นได้เขาก็ปิดปาก
เถ้าแก่เซี่ยวนึกถึงวิธีการของซูหลินก็ตกใจอีกครั้ง จึงรีบกลับไปที่ห้องของเขา แล้วเรียกเสี่ยวเอ้อร์คนสนิทของเขาฉางอวิ๋นมาและขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าไปเชิญหมออู๋มา!”
ฉางอวิ๋นนั้นย่อมรู้ว่าเถ้าแก่เซี่ยวหมายถึงอะไร เมื่อครู่เขาเองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น ย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นและก็ไม่จำเป็นต้องให้เถ้าแก่เซี่ยวพูดอะไรมาก จึงรีบไปเชิญหมออู๋ที่มักจะมารักษาที่นี่อยู่บ่อย ๆ และมารออย่างเงียบ ๆ ในห้องเล็ก ๆ ด้านข้าง
หลังจากผ่านไปนานแล้ว ซูหลินก็เดินออกมาจากห้องโถงด้วยร่างกายที่สดชื่น ใบหน้าดูสดใสมีความสุขและสะบัดพัดเดินจากไป
หลังจากที่เถ้าแก่เซี่ยวส่งซูหลินจากไปแล้ว เสี่ยวเอ้อร์คนสนิทนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ่ยกำชับอีก ก็พาหมอที่ปลอมตัวผู้นั้นเดินตรงเข้าไปในห้องโถง
เห็นเพียงบนตั่งนุ่มในห้องชงชาทั่วทุกที่นั้นนองด้วยเลือด บางส่วนก็กลายเป็นสีดำแล้วเพราะเวลาผ่านไปนาน ส่วนบนตั่งนุ่มมีคนงามนั้นนอนอ่อนปวกเปียกอยู่ราวกับคนตาย ใบหน้าคว่ำลง เสื้อผ้าบนร่างกายยับย่น แต่กลับสวมอยู่บนร่างกายอย่างครบถ้วนไม่เสียหาย
ส่วนบนสะโพกของนางนั้นมีรอยเป็นแผ่นสีแดงเข้ม
หมออู๋ผู้นั้นวางกล่องยาลงอย่างคุ้นเคยและหยิบของอะไรบางอย่างออกมาจากกล่องยา พอตรวจรักษาสตรีคนนั้นสักพักแล้ว ก็หยิบยามาให้ฉางอวิ๋นหนึ่งชุดแล้วพูดว่า “นี่เป็นยาใบ้ เอาให้นางดื่มเหมือนตามปกติก็ได้แล้ว!”
ฉางอวิ๋นรับคำ หลังจากส่งหมอผู้นั้นไปแล้วก็ใช้ผ้าห่มห่อสตรีผู้นั้นอย่างลวก ๆ พอมองรอบด้านแล้วไม่มีผู้ใดก็แบกไว้บนไหล่วิ่งตรงเข้าไปในห้องที่ซ่อนอยู่ด้านข้าง
เถ้าแก่เซี่ยวกำลังรอคอยอยู่ด้านใน พอเห็นคนบนไหล่ของฉางอวิ๋นก็ถอนหายใจว่า “เอาวางลงเถอะ หลังจากหายดีแล้วก็ค่อยส่งไป!”
“ขอรับ!”
เถ้าแก่เซี่ยวทำท่าจะออกไป หลังจากคิดแล้วก็ถามว่า “ครั้งนี้ยังเป็นเหมือนเดิมหรือ?”
“อืม ยังเป็นเหมือนเดิม สถานที่นั้น… สถานที่นั้นเต็มไปด้วยเลือด… ซื่อจื่อเองก็โหดร้ายเกินไปนัก แม่นางคนอื่นเองก็ไม่สามารถทนกับการเหยียบย่ำทำลายเช่นนี้ของเขาได้!” ฉางอวิ๋นพึมพำเบา ๆ ว่า “ปีนี้มีกี่คนแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าหากถูกคนของทางการตรวจพบเข้าจะทำอย่างไร!”
เถ้าแก่เซี่ยวตวัดสายตามองฉางอวิ๋นอย่างดุร้ายและพูดด้วยความโกรธว่า “เรื่องที่เจ้าไม่ควรกังวลเจ้าก็ไม่ต้องกังวล ถ้าหากข้าได้ยินคำพูดนี้อีก ระวังหัวของเจ้าไว้!”
ฉางอวิ๋นได้ฟังก็พยักหน้าตอบรับอย่างรีบร้อน แสดงให้เห็นว่าไม่กล้าพูดพล่ามไร้สาระอีกแล้วก็แค่นั้น
เป็นไปไม่ได้มากที่กู้ฉวนลู่จะกลับบ้าน สาวใช้และบ่าวที่นั่นต่างก็ไม่เปิดประตู แต่ว่าของมากมายของตัวเองอยู่ในบ้านหลังนั้น หากไม่กลับไปเอาจะเป็นไปได้อย่างไร
พอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านก็เห็นกู้จือเหวินเดินออกมาจากด้านในอย่างวางมาด ด้านข้างมีแม่นางที่ไม่คุ้นตาคนหนึ่งอิงแอบพิงไหล่ของกู้จือเหวิน พอมองดูแล้วก็ดูสนิมสนมกันมาก
กู้ฉวนลู่รีบวิ่งเข้ามาถามพลางชี้หน้าว่า “จือเหวิน เจ้าไปที่ใดมา? นี่ผู้ใดเป็นคนเปิดประตูให้เจ้า?”
กู้จือเหวินแปลกใจเล็กน้อย “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงกลับมาในเวลานี้? ผู้ใดเปิดประตูให้ข้า ข้าเคาะประตูก็ย่อมต้องมีคนเปิดประตูให้ข้าอยู่แล้วสิ!”
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดข้าไปเคาะ พวกเขาไม่เปิดให้ข้า?” กู้ฉวนลู่ถามอย่างโมโหพอพูดจบก็ต้องการพุ่งเข้าไปข้างใน
กู้จือเหวินเห็นเช่นนั้นจึงรีบเอื้อมมือไปขวางกู้ฉวนลู่ กู้ฉวนลู่อยากเข้าไป กู้จือเหวินก็ขัดขวางไว้ กู้ฉวนลู่จึงกระโดดโลดเต้นด้วยความรีบร้อนว่า “จือเหวิน นี่เจ้ากำลังทำอะไร? ทำไมเจ้าจึงไม่ให้ข้าเข้าไปข้างใน?”
กู้จือเหวินโอบกอดสตรีที่อยู่ด้านข้างผู้นั้นไว้ตลอดเวลา และยิ้มอย่างมีเจตนาไม่ดีว่า “ท่านพ่อ ต่อไปบ้านหลังนี้ก็เป็นของข้าแล้ว ลูกชายต้องแต่งงาน คงไม่ดีหากท่านจะอาศัยอยู่กับข้าต่อไปใช่หรือไม่?”
“เจ้า… เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” กู้ฉวนลู่งุนงงทันที เมื่อเห็นประตูด้านหลังของกู้จือเหวินปิดลงอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นก็ไม่เข้าใจกู้จือเหวิน
“ท่านพ่อ เรื่องของน้องสาวกับท่านแม่ ท่านรู้หมดแล้วใช่หรือไม่? ท่านแต่งงานกับดาวหายนะและเลี้ยงดูบุตรสาวที่สำส่อนใจง่ายออกมา เหตุใดท่านจึงยังมีหน้าอยู่บนโลกนี้อีกเล่า!” กู้จือเหวินพูดอย่างเย็นชา
กู้ฉวนลู่กระโดดขึ้นมาทันที “กู้จือเหวิน คำพูดนี้เจ้าหมายความว่าอะไร? นั่นเป็นมารดาเจ้า เป็นน้องสาวเจ้านะ!”
“หย๊า ท่านไม่ได้พูดเช่นนี้ต่อหน้าเถ้าแก่เซี่ยว ท่านบอกว่าท่านไม่รู้อะไรเลย น้องสาวก็เป็นท่านแม่ที่อบรมสั่งสอน ท่านไม่รู้ในสิ่งที่พวกนางทำ เหตุใดตอนนี้จึงมาพูดว่านั่นเป็นท่านแม่ข้า เป็นน้องสาวข้ากัน ท่านเอาใจเถ้าแก่เซี่ยว ประจบประแจงซื่อจื่อ เหตุใดท่านจึงไม่บอกว่านั่นเป็นภรรยาท่าน นั่นเป็นบุตรสาวท่านเล่า?”