ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2141 ความบาดหมางของพ่อลูก
บทที่ 2141 ความบาดหมางของพ่อลูก
กู้ฉวนลู่ได้ฟังก็หน้าขาวซีดด้วยความตกตะลึง นิ้วเริ่มสั่นเทาชี้ไปที่กู้จือเหวินอย่างพูดไม่ออกว่า “เจ้า… เจ้ารู้… รู้ได้อย่างไร?”
กู้จือเหวินแค่นเสียงเย็น “ข้ารู้ได้อย่างไร ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าเพียงแค่อยากถามท่านว่า เหตุใดสิ่งที่ตัวเองเคยพูดเองก็จำไม่ได้แล้ว?”
“เจ้า… เจ้าคิดว่าอย่างไร?” กู้ฉวนลู่สั่นเทาด้วยความกลัว พอมองดูท่าทางที่คุ้นเคยของกู้จือเหวิน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบุตรชายคนนี้เขาไม่เคยมองออกเลย
“ท่านพ่อ ข้าถือว่าท่านยังเป็นท่านพ่อของข้า ท่านรีบออกจากเมืองหลวงไปเถอะ! ร้านจุ้ยอวี้กู่ไจท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปแล้ว ที่นั่นไม่มีที่ให้ท่านอีกแล้ว อีกทั้งบ้านนี้ท่านเองก็อยู่ต่อไปไม่ได้ ซื่อจื่อได้พูดไว้แล้วว่าขอเพียงข้าตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกจากท่าน ข้าก็ยังเป็นคนข้างกายที่ซื่อจื่อชื่นชอบ!” กู้จือเหวินพูดอย่างเย็นชาและเห็นสีหน้าของกู้ฉวนลู่ที่ขาวซีดมากขึ้นเรื่อย ๆ
“จือเหวิน เจ้า… ข้าเป็นพ่อของเจ้านะ เจ้าเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเป็นบิดาของเจ้า!” พอกู้ฉวนลู่ได้ยินว่าต้องการตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูก ก็ทั้งโกรธทั้งร้อนใจจนแผดเสียงตะโกน
“พ่อ? เหอะเหอะ หลายปีมานี้ท่านเคยให้อะไรข้า? มีอันไหนบ้างที่ไม่ใช่ข้าพยายามมา ถ้าหากท่านเป็นขุนนางระดับสูง ตลอดชีวิตนี้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็มีความมั่งคั่งร่ำรวยไม่รู้จบแล้ว ท่านนั้นไม่มีแต่ว่าซื่อจื่อมี ขอเพียงแค่ข้าไม่รู้จักท่าน ซื่อจื่อก็เป็นบิดามารดาคนใหม่ของข้า สิ่งที่ข้าต้องการเขาก็จะมอบให้ข้าทั้งหมด! ผู้ใดให้ท่านมีลูกสาวที่ไร้ยางอายเช่นนั้นกัน? กล้านำเมล็ดพันธุ์ของคนโง่งมไปตำหนิว่าซื่อจื่อ คนต่ำต้อยไร้ค่าคนหนึ่งก็กล้าไปทำให้ร่างกายซื่อจื่อแปดเปื้อนมลทิน ท่านพ่อ ถ้าหากจะโทษก็ต้องโทษท่านที่ไม่สั่งสอนบุตรสาวของท่านให้ดี!” กู้จือเหวินยิ้มอย่างดุร้าย
สตรีที่อยู่ด้านข้างหัวเราะคิกคักและโผเข้าไปในอ้อมแขนของกู้จือเหวิน รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้จือเหวินเต็มไปด้วยความใคร่ราวกับเป็นคนเสเพล
ด้านหลังก็มีข้ารับใช้ถือของบางอย่างออกมาและพูดกับกู้จือเหวินด้วยความเคารพนอบน้อมว่า “นายท่าน ของพวกนี้จัดเก็บครบถ้วนแล้ว!”
กู้จือเหวินชี้ไปที่กู้ฉวนลู่พลางพูดอย่างเกียจคร้านว่า “โยนให้เขา!”
หลังจากที่ข้ารับใช้นั้นได้ยินก็โยนของที่อยู่ในมือไปทางกู้ฉวนลู่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่ากู้ฉวนลู่หลบหลีกได้เร็ว เกรงว่าห่อสัมภาระนั่นก็คงต้องกระแทกร่างกายของเขาแล้ว
ห่อสัมภาระตกลงบนพื้นจนข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อน
ทั้งหมดล้วนเป็นเสื้อผ้าของกู้ฉวนลู่ที่โยนทิ้งอยู่บนพื้นอย่างสะเปะสะปะเหมือนถุงขยะ
กู้ฉวนลู่เห็นแล้ว ดวงตาก็หรี่ลงชี้ไปที่กู้จือเหวินด้วยความโกรธจนตัวสั่น “กู้จือเหวิน เจ้า… เจ้าต้องการไล่ข้าออกไปจริงรึ? ข้าเป็นพ่อของเจ้า ไม่มีข้าแล้วจะมีเจ้าออกมารึ? คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เจ้าจะไร้ศีลธรรมจนถึงขั้นต้องการตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับข้า เจ้า… เดรัจฉาน เดรัจฉาน!”
กู้ฉวนลู่ด่าทอสาปแช่งกู้จือเหวินก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ ยังคงโอบกอดสาวงามที่แต่งตัวงดงามอยู่ด้านข้างแล้วพูดว่า “ท่านอย่ามามัวด่าอยู่ตรงนี้เลย หากจะโทษก็ต้องโทษท่านที่ล่วงเกินซื่อจื่อแล้ว โชคดีที่ซื่อจื่อฉลาดเฉียบแหลมรู้ว่าข้าไม่ใช่พวกเดียวกับพวกท่าน ถ้าหากท่านรู้ตัวว่าต้องทำอย่างไรก็รีบไปเสียเถอะ!”
กู้ฉวนลู่จะอดทนอดกลั้นได้อย่างไรที่ตัวเองสิ้นเปลืองความพยายามมาหลายปีกับกู้จือเหวิน แต่กลับเลี้ยงดูจนกลายเป็นหมาป่าตาขาวเช่นนี้ จึงโกรธมากจนหายใจหอบถี่แทบจะหมดสติไป
“เจ้า กู้จือเหวน ข้าสิ้นเปลืองความพยายามมาหลายปีเลี้ยงดูเจ้าสั่งสอนเจ้า ไม่ง่ายที่จะเลี้ยงดูสั่งสอนเจ้าออกมา เจ้าก็ทำกับข้าเช่นนี้รึ?” กู้ฉวนลู่ตะโกนจนเสียงเพี้ยนเพราะว่าเสียงแหลมเกินไป
กู้จือเหวินยิ้มหยันว่า “ท่านเลี้ยงดูข้ามาหลายปี ไม่ใช่เพื่อให้ข้าโดดเด่นให้ท่านมีหน้ามีตาหรอกรึ? ตอนนี้ข้าเองก็โดดเด่นเหนือกว่าแล้ว ถ้าหากท่านตายลงไปพบหน้าบรรพบุรุษ ท่านอบรมสั่งสอนบุตรชายที่ดีเลิศเช่นนี้ออกมาได้ ท่านก็มีหน้ามีตาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก?”
“ข้า…ข้าปลูกฝังเลี้ยงดูให้เจ้ายอดเยี่ยมเช่นนี้ ก็เพื่อให้เจ้าแตกคอไม่รู้จักคนรึ? ข้าเป็นบิดาเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทะยานก้าวหน้าอย่างไรข้าก็เป็นบิดาของเจ้า!”
กู้ฉวนลู่เห็นท่าทางที่ดุร้ายของกู้จือเหวิน ในใจก็รู้ทันว่าบุตรชายคนนี้เขาไม่เคยเข้าใจเลย อีกทั้งยังจิตใจโฉดชั่วเหมือนหมาป่า ความกตัญญูทั้งหลายในอดีตนั้นล้วนเสแสร้งทำออกมาทั้งหมด!
กู้จือเหวินแค่นเสียงเย็น “ท่านให้ข้า? ท่านให้อะไรข้าบ้าง? บ้านหลังนี้ก็เป็นซื่อจื่อซื้อ ตอนนี้ข้าทำงานอยู่กรมคลังก็เป็นซื่อจื่อที่จัดการให้…”
“ข้าให้เจ้าเล่าเรียนมาหลายปีแล้ว” กู้ฉวนลู่โต้เถียงว่า “ถ้าหากไม่มีข้าสรรหาให้เจ้าเล่าเรียนหนังสือ เจ้าจะมีความสามารถมากมายเช่นนี้จนสามารถเข้าตาซื่อจื่อได้เสียที่ไหนกัน!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้จือเหวินยิ่งอ่านไม่ออกแล้ว “คำพูดท่านนี้ ในเดือนแรกท่านหาเงินอยู่ในร้านอาหารได้กี่ตำลึงเชียว ท่านหาเงินให้ข้าเล่าเรียนรึ? กู้ฉวนลู่ ท่านยอมรับเสียเถอะว่าเงินที่ข้าเล่าเรียนนั้นล้วนใช้ร่างกายของกู้ซินเถาแลกมา!”
กู้ฉวนลู่ถูกกู้จือเหวินเปิดโปง สีหน้าก็ยิ่งไม่น่ามองมากขึ้น
ไม่ผิด ในปีนั้นเขาทำงานในร้านอาหาร เดือนหนึ่งก็มีเงินเดือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องศึกษาเล่าเรียนเลย แม้แต่เลี้ยงดูคนไม่กี่คนก็กลายเป็นปัญหาแล้ว โชคดีที่ตอนนั้นพวกเขากินอาศัยกันอยู่ในร้านอาหารก็ถือว่ามีชีวิตรอดกันมาได้
ต่อมาหลังจากออกจากร้านอาหารแล้ว กู้ซินเถาก็ไปปีนป่ายเจียงหย่วนอีกครั้ง แม้ว่าต่อมาของที่เจียงหย่วนส่งมาจะถูกตระกูลเจียงยึดไปหมดแล้ว แต่ว่าเงินบางส่วนที่ส่งมานั้น พวกเขากลับใช้กันอย่างเอาจริงเอาจัง
ดังนั้นในเวลานั้นแม้ว่ากู้ฉวนลู่จะไม่ได้ทำงาน แต่ว่าเงินที่ใช้จ่ายในครอบครัวก็ยังดีมาก ดีมากกว่าตอนที่กู้ฉวนลู่ยังทำงานเสียอีก
กู้ฉวนลู่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความดีความชอบของกู้ซินเถา แต่ว่าตอนนี้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งไม่สามารถเลี้ยงดูปากท้องครอบครัวได้ กลับได้แต่พึ่งพาอาศัยบุตรสาวขายตัว การถากถางเหน็บแนมเช่นนี้เหมือนเป็นการตบปากกู้ฉวนลู่ตรง ๆ จนเจ็บปวดมาก
กู้จือเหวินไม่ยอมโต้เถียงกับเขาอีก สาวงามที่อยู่ด้านข้างก็ทนรอจนไม่ไหวแล้ว “นายน้อยกู้ พวกเรายังไปกันไม่ได้อีกหรือ?”
“ไป ไป ไปได้แล้ว!” กู้จือเหวินรีบโอบกอดสาวงามผู้นั้นพลางหัวเราะคิกคักเดินจากไป กู้ฉวนลู่ไม่ยินยอมจึงก้าวไปข้างหน้าต้องการขวางไว้ กู้จือเหวินไม่เต็มใจจะมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับกู้ฉวนลู่แล้วจริง ๆ จึงโบกไม้โบกมือให้ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังทันที
ข้ารับใช้สองคนนั้นเห็นก็ก้าวเข้ามาบอกแล้วจับกู้ฉวนลู่ไว้ กู้ฉวนลู่ไม่ฟังและพยายามดิ้นรน “พวกเจ้าปล่อยข้า ข้าเป็นเจ้านายของพวกเจ้า…”
ข้ารับใช้ทั้งสองนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “คนบ้ามาจากที่ไหน ตีออกไป!”
สองคนนั้นจึงผลัดกันเตะผลัดกันต่อยจนกู้ฉวนลู่หน้าบวมช้ำ เอาแต่อ้อนวอนร้องขอความเมตตา จากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างกะโผลกกะเผลก