ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2148 จับคู่
บทที่ 2148 จับคู่
“ท่านอา พวกเขาออกศึกเคียงข้างท่านปู่ของข้า ท่านอย่าเกรงกลัวที่เขาร่างกายกำยำ รูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็เพียงแค่ข่มขู่ให้ข้าศึกหวาดกลัวเท่านั้น ข้าคงไม่ต้องบอกว่าเขาน่าเกรงขามเพียงใด!” ถานอวี้ซูชื่นชมอีกฝ่ายไม่หยุดปาก
กู้ฟางสี่ไม่เคยเดินทางไปค่ายทหารมาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่รู้เรื่องการต่อสู้ระหว่างศัตรูมากนัก แต่แน่นอนว่าคนรอบข้างท่านแม่ทัพถานมีความเก่งกาจมากอยู่แล้ว กู้ฟางสี่ค้อมตัวทักทายเขาเล็กน้อย
เมื่อเห็นทั้งคู่ทำความรู้จักกันแล้ว กู้เสี่ยวหวานลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความจริงแล้วนางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นกู้ฟางสี่วางของลงบนโต๊ะ ก็หมุนกายเดินจากไป
“ท่านอา ท่านจะไปไหนเจ้าคะ?” กู้เสี่ยวหวานเชิญเฉินเหมิ่งและติงลุ่นมาทานซาวเข่าเพื่อสร้างโอกาสให้ทั้งสองคนได้พบกัน ไม่ง่ายเลยกว่าท่านอาจะมาที่นี่ กู้เสี่ยวหวานจึงกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นท่านอาเตรียมจากไป
“ในครัวยังมีปลาที่ยังไม่ได้จัดการอยู่ ข้าจะไปจัดการกับมันก่อน!” กู้ฟางสี่จะรู้ขนาดนั้นได้อย่างไร ที่นางรู้ตอนนี้คืองานของนางยังไม่เสร็จและต้องรีบกลับไปทำงาน
“ท่านอา ปลานั้นไม่จำเป็นเลย ดูสิ ตรงนี้ยังมีอาหารอีกมากมาย หากไม่พอพวกเราค่อยนำมาเพิ่มดีหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานพูด
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายจาน ทั้งอาหารจานเนื้อ อาหารจานผัก เยอะมากจนกังวลว่าพวกเขาไม่อาจกินได้หมด กู้เสี่ยวหวานที่อยากสร้างโอกาสให้ทั้งสองคน จึงยังไม่ต้องการให้กู้ฟางสี่จากไป
“ท่านอา เราจัดการปลามอบหมายให้ท่านลุงเฉินเถอะ เรื่องเปื้อนเลือดเหล่านั้นปล่อยให้ผู้ชายทำจะดีกว่า!” ถานอวี้ซูเสริมทัพ
“ตกลง ข้าจะจัดการเรื่องนั้นเอง” เฉินเหมิ่งรีบวางของในมือลงแล้วพูด
“ข้าจะปล่อยให้ท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านเป็นแขกนะเจ้าค่ะ!” กู้ฟางสี่ไม่เห็นด้วย
“คุณหนู ท่านจวิ้นจู่ ให้ข้าจัดการเรื่องปลาเถอะ” โค่วไห่รีบพูดว่า
กู้เสี่ยวหวานออกตัวว่าไม่ต้อง ถานอวี้ซูเสนอให้เป็นเฉินเหมิ่ง และเขาก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล แต่กู้ฟางสี่ไม่เห็นด้วย โค่วไห้จึงเสนอตัวว่าจะไปเอง
กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าหากนางออกตัวมากเกินไปกู้ฟางสี่ผู้อ่อนไหวจะอ่านความคิดตนเองออก ดังนั้นจึงพูดว่า “แบบนั้นก็ได้ แล้วแต่พวกท่าน โค่วไห่ไปเถอะ ท่านอามีเหนียนเกา*[1]อยู่ในครัวหรือไม่? ท่านช่วยยกมาที่นี่หน่อยได้หรือไม่ อย่าลืมเอารากบัวมาด้วยนะเจ้าค่ะ!”
กู้ฟางสี่ไม่ได้สงสัยอะไร จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เมื่อเห็นว่ากู้ฟางสี่กำลังจะจากไป ถานอวี้ซูจึงจับมือกู้เสี่ยวหวานแล้วถามเสียงเบา “เหตุใดไม่ให้ท่านลุงเฉินไปล่ะ?”
“เจ้าเด็กโง่ ถ้าทำแบบนี้ท่านอาก็รู้หมดสิ เราจะให้แขกทำงานในครัวได้อย่างไร? เจ้าอยู่เงียบ ๆ เถอะ หากท่านอารู้เข้าก็จะจบเห่!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยความกลัว
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำผิดพลาดอีกแน่นอน!” ถานอวี้ซูแลบลิ้นอย่างเขินอาย
เฉินเหมิ่งเห็นว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องจัดการปลาแล้ว และซาวเข่าที่เขาทำเมื่อครู่ก็ถูกติงลุ่นแย่งไปกินแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่เฉย ๆ และพูดว่า “เหตุใดไม่ให้ข้าไปที่ครัวเพื่อดูว่าสามารถช่วยอะไรได้บ้างล่ะ?”
“ตกลง ข้าจะไปกับท่านลุงเฉิน!” เมื่อเห็นว่าเฉินเหมิ่งบอกจะไปที่ครัวด้วยตนเอง ครั้งนี้กู้เสี่ยวหวานจึงไม่ได้ขวางเขาอีก
“ข้าจะไปด้วย!” เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานตกลง ถานอวี้ซูก็เข้าใจทันทีและรีบเสนอตัวตามไปด้วย
ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปที่ห้องครัว ทิ้งติงลุ่นยืนอยู่คนเดียวหน้าเตาย่างซาวเข่า ฮัมเพลงไปด้วยระหว่างย่างซาวเข่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน
เฉินเหมิ่งเพิ่งเคยมาที่สวนชิงครั้งแรก ผู้คนภายนอกล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าสวนชิงนั้นมีความลึกลับ มันถูกสร้างขึ้นโดยใครบางคนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่และถูกปล่อยทิ้งร้างจนทุกวันนี้ ทุกคนต่างพูดว่าคนที่สร้างจวนนี้ได้จากไปแล้ว
หลังจากผ่านไปหลายปีในที่สุดก็มีคนมาอาศัยอยู่ในจวนหลังนี้ และยังมีตำแหน่งเป็นถึงองค์หญิงอันผิง ซึ่งก็ได้สร้างความแปลกใจให้ทุกคนมาก เจ้าของจวนหลังนี้มีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงอันผิงหรือไม่?
แต่ได้ยินจากเถ้าแก่ร้านจิ่นฝูว่า เขาเป็นผู้เช่าจวนหลังนี้ไว้ห้าปีและเขาจะมาเก็บค่าเช่าอีกครั้งเมื่อถึงเวลา ผู้คนหานายหน้าคนกลางไม่เจอด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเรื่องเจ้าของจวนหลังนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา
ไม่ว่าพวกเขาจะสับสนเพียงใด แต่การกระทำขององค์หญิงอันผิงก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง หญิงสาวกล้าหาญ มีไหวพริบ สง่างาม ใจกว้าง อ่อนโยนและจิตใจดี ช่างเป็นคนที่น่าทึ้งยิ่งนัก
ผู้หญิงน่าเลื่อมใสคนนี้ ไม่รู้ว่าคนมีความสามารถแบบไหนที่คว้านางมาครอบครองได้
จากความเลื่อมใสที่มีต่อกู้เสี่ยวหวาน เฉินเหมิ่งจึงยิ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอาหญิงของนางที่ปรากฏตัวขึ้น เขาคิดว่าความโดดเด่นของกู้เสี่ยวหวานนั้นมาจากอาหญิงของนางส่วนหนึ่ง ว่ากันว่าบิดาและมารดาของกู้เสี่ยวหวานเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก
เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบขวบจะเอาตัวรอดได้อย่างไรถ้าไม่คอยมีคนสั่งสอน ดังนั้นความเก่งกาจนี้จะต้องมีคนคอยสอนอยู่เบื้องหลังแน่นอน เมื่อมาถึงห้องครัวด้านหลังก็เห็นกู้ฟางสี่ยืนก้มหน้าอยู่หน้าเขียง มือของนางหยาบกร้านเล็กน้อยเนื่องจากการทำงานหนักมาหลายปี หากแต่ใบหน้านั้นถูกแต่งแต้มอย่างงดงาม เส้นผลดำขลับถูกหวีอย่างประณีต
เฉินเหมิ่งให้ความสนใจอย่างรอบคอบกับกู้ฟางสี่ และสิ่งนี้ตกอยู่ในสายตาของกู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูโดยธรรมชาติ
เมื่อเห็นเขามองไปที่กู้ฟางสี่ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกตื่นเต้นและเกิดความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
กู้ฟางสี่ได้ยินการเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี่ยวหวาน ถานอวี้ซูและรองเฉินที่เพิ่งเข้ามาจึงพูดว่า “เสี่ยวหวาน ทำไมเจ้าถึงพาท่านจวิ้นจู่และแขกเข้ามาที่ครัวล่ะ สถานที่นี้สกปรกและร้อนอบอ้าว รีบพาพวกเขาออกไปเร็ว!”
เฉินเหมิ่งกุมมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอากล่าวผิดแล้วล่ะ ในครัวนี้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน จะเรียกว่าสกปรกได้อย่างไรกัน นอกจากนี้หากไม่มีเตาไฟ พวกเราจะได้กินอาหารอร่อย ๆ ได้อย่างไร ห้องครัวคือรากฐานของคนเรา ถ้าไม่มีห้องครัวก็ไม่มีสถานที่ปรุงอาหาร เช่นนั้นแล้วต้องกินอาหารดิบงั้นเหรอ?”
กู้เสี่ยวหวานค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของเฉินเหมิ่ง และกล่าวว่า “พวกเราเป็นคนป่าหรืออย่างไรกันเล่า เหตุใดจะต้องกินอาหารดิบด้วย ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเรากับคนป่าคือเราสามารถใช้ไฟได้!”
[1] ขนมเข่ง