ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2149 ห้องครัวเป็นแหล่งที่มาของความสุข
บทที่ 2149 ห้องครัวเป็นแหล่งที่มาของความสุข
“การกินอาหารดิบไม่ค่อยหน้าอภิรมย์เสียเท่าไร เนื้อสด ๆ เหล่านั้นเต็มไปด้วยเลือด แค่คิดข้าก็ขนลุกแล้ว ท่านดูพวกเราสิทั้งนึ่ง ต้ม ทอด ย่างทำทุกอย่างด้วยวัตถุดิบ หากแต่รสชาติต่างกันเพราะการปรุงรส! ดังนั้นท่านอาอย่าบอกว่าครัวเป็นสถานที่ที่ไม่สะอาด ตามมุมมองของข้าครัวคือสถานที่ที่ทำให้เรามีชีวิตรอด! หากไม่มีห้องครัวนี้ เกรงว่าชีวิตเราก็จะไม่มีความสุข อวี้ซู ท่านลุงเฉิน ไม่คิดอย่างนั้นกันหรือ?” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างมีชีวิตชีวา ก่อนจะเห็นทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“คำพูดของเสี่ยวหวานนั้นสมเหตุสมผล เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่ามีคนเปรียบเทียบห้องครัวเป็นสถานที่ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ องค์หญิงอันผิงพูดถูก อาหารเป็นสิ่งสำคัญและสร้างความสุขให้ผู้คนเสมอไม่ใช่หรือ?”
“ท่านพี่ ท่านพูดถูกเป็นที่สุด ท่านอาเป็นผู้มีพระคุณของเรา! หากไม่มีท่านชีวิตนี้ของเราก็คงไม่มีความสุข!” ถานอวี้ซูแม้จะอารมณ์ร้อน แต่เมื่อติดตามกู้เสี่ยวหวานมาตลอดหลายปี นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปไม่น้อย
บางครั้งก็ทำตัวเป็นเด็กดี บางครั้งก็ทำตัวเป็นเด็กดื้อ หากมือกู้ฟางสี่ไม่ได้เปื้อนก็อยากจะจับนางมากอดไว้สักที
กู้ฟางสี่มีทักษะการทำอาหารค่อนข้างดี หลังจากหั่นรากบัวเสร็จแล้วก็จัดการล้างให้สะอาดแล้ววางไว้ให้สะเด็ดน้ำ
เฉินเหมิ่งมาที่นี่เพราะต้องการช่วยงาน เมื่อเห็นว่ากู้ฟางสี่กำลังจัดการกับรากบัว เขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว กู้ฟางสี่จึงเงยหน้าขึ้นเห็นเฉินเหมิ่งเดินมาหยุดอยู่หน้าตนเองและเริ่มหั่นรากบัว จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “รองเฉิน ท่านทำไม่ได้ ท่านทำไม่ได้ เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ ท่านออกไปรอข้างนอกจะดีกว่า!”
เฉินเหมิ่งเพิ่งหั่นรากบัวได้เพียงสองชิ้นเท่านั้น เขาเคยชินกับการถือดาบฆ่าฟันศัตรู แต่ตอนนี้ต้องมาหั่นรากบัวเป็นชิ้นบาง ๆ กลับพบว่ามันเป็นเรื่องยาก เมื่อกู้ฟางสี่ห้ามตนเอง จึงรู้สึกอายเล็กน้อย “ข้าทำงานนี้ไม่ได้จริง ๆ!” หลังจากพูดจบก็ก้าวถอยหลังไปอย่างเขินอาย
กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่หน้าโค่วไห่และมองดูเขาจัดการปลา เมื่อเห็นกู้ฟางสี่ไล่เฉินเหมิ่งออกไป ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความเสียดาย ถานอวี้ซูที่อยู่ด้านข้างเดินเข้าหากู้เสี่ยวหวานอย่างระมัดระวังและพูดว่า
“ท่านพี่ ท่านอาดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ กับท่านลุงเฉิน!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว
“หากท่านอามีความรู้สึกต่อท่านลุงเฉิน หน้านางจะต้องขึ้นสีแดงและรู้สึกขอบคุณกับความช่วยเหลือจากท่านลุงเฉิน แต่ข้าสังเกตท่านอาอย่างละเอียดแล้ว ท่าทางของนางนิ่งเกินไป นางปฏิบัติต่อท่านลุงเฉินเหมือนปฏิบัติต่อท่านและข้า!” ถานอวี้ซูก็ถอนหายใจอย่างปลงตก
กู้เสี่ยวหวานเพิ่งค้นพบว่าเมื่อกู้ฟางสี่เผชิญหน้ากับเฉินเหมิ่งด้วยใบหน้านิ่งสงบ ตอนเฉินเหมิ่งเข้าไปช่วย นางก็ไล่เขาออกมาโดยไม่ลังเล แสดงให้เห็นว่าท่านอาไม่มีความรู้สึกใด ๆ
แต่…
“บางทีท่านอาอาจปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน นางปฏิบัติอย่างนั้นกับเขา เพราะเขาเป็นแขก เจ้าคิดอย่างไร?” กู้เสี่ยวหวานถาม
“สิ่งที่ท่านพูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นมารอดูกัน!” ถานอวี้ซูพยักหน้า
เพื่อประโยชน์ของกู้ฟางสี่ กู้เสี่ยวหวานจึงพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อกลับมาที่ลานหน้าบ้านก็พบว่าติงลุ่นย่างซาวเข่าไปหลายไม้แล้ว เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานกลับมา เขาก็ตะโกนขึ้น
“เสี่ยวหวาน เจ้าลองมาชิมฝีมือข้าดูสิ มาดูกันว่ามันแตกต่างจากของเจ้าอย่างไร!”
กู้เสี่ยวหวานหยุดลงด้านหน้าเตา ก่อนจะหยิบหมูสามชั้นที่ถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองขึ้นมากัดกิน หมูสามชั้นชิ้นอวบอ้วน หากแต่ไม่ได้มีมันเยิ้ม ย่างได้กำลังดีไม่ไหม้เกินไป และรสชาติอร่อยมาก นางจึงชมทันที “ท่านลุงติง ท่านสุดยอดจริง ๆ รสชาติดีมาก!”
“แน่นอนอยู่แล้ว มา มา มา นั่งลงเร็วเข้า วันนี้ข้าจะทำซาวเข่าให้ทุกคนเอง ไม่ต้องเกรงใจ ๆ!”
“ท่านลุงติง ขอโทษจริง ๆ วันนี้ท่านเป็นแขกของข้า แต่ข้ากลับปล่อยให้ท่านมาทำอาหารเช่นนี้” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างลำบากใจ
“พูดอะไรอย่างนั้น เราเองก็เป็นสหายเก่า พวกเจ้านั่งลงก่อนเถอะ” ติงลุ่นพูดอย่างนิ่งเฉย “ถ้าไปที่ชายแดนอีกครั้ง แล้วข้ามีทักษะการทำอาหารติดมือ ยามไม่มีอะไรทำ ข้าก็สามารถทำให้เหล่าพี่น้องกินได้เพื่อเป็นการให้กำลังใจเหล่าพี่น้องในการต่อสู้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เฉินเหมิ่งก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ เหล่าพี่น้องอยู่ที่ชายแดนและพวกเขามักจะกินอาหารด้วยวิธีที่ปรุงง่ายที่สุด แม้ว่าจะมีเนื้อสัตว์ ผัก และข้าว แต่ไม่มีใครเคยลิ้มรสอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน เหล่าติงเขยิบไปหน่อย ข้าจะเรียนด้วย เมื่อทำเป็นแล้วข้าก็จะทำให้เหล่าพี่น้องกิน เหล้าองุ่นดี ๆ และอาหารดี ๆ เพื่อให้รางวัลพวกเขา!”
“เอาล่ะ มาเลย!” เฉินเหมิ่งและติงลุ่นยืนอยู่ด้านหนึ่งและเริ่มย่างซาวเข่า
สิ่งที่พวกเขาพูดเมื่อครู่สร้างความประทับใจให้ของกู้เสี่ยวหวานไม่น้อย สำหรับทหารที่ชายแดนเพื่อปกป้องบ้านเมืองและอาณาจักรของพวกเขา แค่ได้กินอาหารอิ่มท้องก็ดีมากแล้ว แล้วพวกเขาจะกินอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ได้ที่ไหน
พวกเราเหมือนเป็นหนี้บุญคุณของพวกเขา
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย นางพยายามอย่างมากเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา
ถานอวี้ซูเคยไปอยู่ที่ค่ายทหารมาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้เรื่องสภาพการเป็นอยู่ที่นั้นดี เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเงียบไปจึงตบหลังมือของกู้เสี่ยวหวานเบา ๆ “ท่านพี่ แม้การใช้ชีวิตที่ชายแดนจะไม่สุขสบายนัก แต่ราชสำนักจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้าย มีอาหารและมีเสื้อผ้าฝ้ายเพียงพอสำหรับกันความหนาวเย็นทุกปี! พี่หนิงผิงจะไม่ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นั่น!”
ถานอวี้ซูคิดว่ากู้เสี่ยวหวานคิดถึงพี่หนิงผิง ดังนั้นจึงรีบปลอบประโลม
กู้เสี่ยวหวานตอบรับในลำคอหนึ่งเสียง “ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเขาคนเดียว ข้ากังวลเกี่ยวกับทหารทุกคนที่ปกป้องประเทศ ยกเว้นนายพลเหล่านั้น ทหารชนผู้น้อยอุทิศชีวิตของตนเพื่อความปลอดภัยของแว่นแคว้น เราควรให้ความสนใจกับพวกเขามากกว่านี้ และทำให้พวกเขารู้สึกว่าแม้พวกเขาจะไม่ได้มีความห้าวหาญหรือมีชื่อเป็นที่จดจำ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้ปกป้องบ้านเกิดและอาณาจักรของ เราจึงคิดว่าพวกเขาก็น่ายกย่องเช่นกัน เราถือว่าพวกเขาเป็นวีรบุรุษ!”