ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2150 ทหารคือวีรบุรุษ
บทที่ 2150 ทหารคือวีรบุรุษ
ทันใดนั้นเฉินเหมิ่งและติงลุ่นก็เงยหน้าขึ้นมองกู้เสี่ยวหวานที่เอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง และรู้สึกว่าคำพูดของกู้เสี่ยวหวานนั้นยิ่งใหญ่หาสิ่งใดเปรียบ ทุกคนที่ปกป้องประชาชนและอาณาจักรของพวกเขาคือวีรบุรุษ เราต้องจดจำพวกเขา ห่วงใยความเป็นอยู่ของพวกเขา และทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีประชาชนมากมายให้ความสนใจพวกเขาเสมอ และจะจดจำพวกเขาตลอดไป!
เนิ่นนานสิ่งที่ทุกคนจำได้คือนายพลขี่ม้าตัวสูงสง่าและทหารกล้าในสนามรบ ใครเล่าจะจำทหารชั้นผู้น้อยนั้นได้
“เสี่ยวหวาน เจ้าพูดถูกต้อง ใช่แล้ว ทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้นคู่ควรกับการปลอบขวัญของเรามากกว่า!” ติงลุ่นเห็นด้วย พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และเมื่อได้ยินเรื่องนี้จากกู้เสี่ยวหวาน ใครกันที่สามารถทำงานหนักเพื่อดูแลปกป้องประเทศอย่างยากลำบากแบบทหารเหล่านั้นได้กัน? พวกเขาไม่ได้ผลประโยชน์ตรงนี้มากนัก แต่พวกเขาก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กันในการปกป้องความปลอดภัยของอาณาจักรต้าชิง
เฉินเหมิ่งก้มหน้าลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถามว่า “องค์หญิง ท่านจะปลอบขวัญทหารชนผู้น้อยเหล่านั้นได้อย่างไร?”
“ทหารเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันบ่อยแค่ไหน?” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
“สิบปี!” ติงลุ่นกล่าว “หากพวกเขาบาดเจ็บหรือพิการจนไม่สามารถเดินทัพได้ พวกเราจะปลดพวกเขาและส่งกลับบ้าน”
“ท่านให้เงินช่วยเหลือแก่ทหารประจำการเป็นเวลาสิบปีกันเท่าไร?” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยประโยคที่ทันสมัย
“เงินช่วยเหลือ? เงินช่วยเหลืออะไร?” ติงลุ่นและเฉินเหมิ่งไม่เข้าใจ
“พวกเขาใช้เวลาสิบปีในการปกป้องบ้านเมืองและประเทศ ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ เลี้ยงลูกไม่ได้ และไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ช่วงเวลาสิบปีนี้พวกเขาได้เสี่ยงชีวิตเพื่อความปลอดภัยของอาณาจักรต้าชิง เมื่อพวกเขาปลดประจำการ ทางราชสำนักจะปลอบขวัญแก่พวกเขาได้มากเพียงใด?”
“…ทหารชนผู้น้อยจะได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงิน หากพวกเขาทำคุณงามความดีเขาจะได้มากกว่านั้น!” ติงลุ่นตอบ
“หลังจากพวกเขาปลดประจำการ พวกเขาทำอะไร? ราชสำนักยังดูแลเขาหรือไม่?”
“ไม่แล้ว พวกเขาพึ่งพาเงินจำนวนนั้นเพื่อเริ่มต้นกิจการขนาดเล็กหรือเป็นเกษตรกร!” เฉินเหมิ่งไม่รู้ว่าทำไมกู้เสี่ยวหวานถึงถามเช่นนี้ แม้ว่านางจะยังอายุน้อยแต่บางครั้งก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่านางมาก ดังนั้นจึงพูดสิ่งที่รู้ออกมา “หากทหารได้รับบาดเจ็บและถูกส่งกลับบ้าน เขาจะได้รับการปลอบขวัญตามจำนวนปีที่ประจำการอยู่ชายแดน และทางราชสำนักจะให้เงินบำนาญเพิ่มขึ้น แต่มันก็ไม่มากนัก!”
“คนเหล่านี้ใช้เวลาสิบปีเพื่อปกป้องประชาชนและอาณาจักร แต่เมื่อกลับบ้านแต่ละคนจะได้รับเงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเองหรือ? ท่านลุงเฉิน ท่านลุงติง ท่านคิดว่าหากคนเหล่านั้นอยู่บ้านทำกิจการเล็ก ๆ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พวกเขาจะใช้ชีวิตด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้งั้นเหรอ?”
“ไม่สิ บางคนอาจได้รับเงินหลายร้อยตำลึงเงิน!” ติงลุ่นกล่าว
“ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องอยู่ในความกลัวทุกวันเพียงเพื่อปกป้องประชาชนและอาณาจักรของเขา ท่านคิดว่าเงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเพียงพอหรือไม่? นอกจากนี้ หากพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ประกอบอาชีพไม่ได้แล้วและทางราชสำนักก็ไม่สนใจใยดีเขาอีก เดิมที…พวกเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ตอนนี้กลับไม่มีความสามารถในการทำงาน และเราจะปล่อยให้พวกเขาดูแลตัวเองอีกแบบนี้หรือ? ท้ายที่สุดพวกเขาก็เคยเป็นวีรบุรุษผู้ปกป้องอาณาจักรมาก่อน!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างจริงจัง
“นี่…” ติงลุ่นและเฉินเหมิ่งมองหน้ากัน หากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เฉินเหมิ่งขมวดคิ้วและพูดอย่างจริงจัง “องค์หญิง คำพูดเหล่านี้…สตรีอย่างท่านไม่ควรพูดออกมา!”
“ข้าขอโทษท่านลุงติง ท่านลุงเฉิน ข้าเพียงแค่แสดงความเห็นของข้า เช่นนั้นข้าจะแสร้งเป็นว่าไม่ได้เอ่ยออกมาก็แล้วกัน!” กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการหารือเรื่องนี้ตามอำเภอใจ และนางก็รู้ชัดเจนว่าสตรีไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับงานของบ้านเมือง สิ่งที่นางพูดวันนี้มันมากเกินไปแล้ว!
เฉินเหมิ่งแค่เตือนนางว่าไม่ควรพูดคำเหล่านี้
ติงลุ่นและเฉินเหมิ่งไม่กล้าถามอะไรเพิ่มเติม ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าเบา ๆ บรรยากาศในตอนแรกค่อนข้างตึงเครียดเล็กน้อย แต่ต่อมาเมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นและซาวเข่าก็เป็นชื่นชอบของทุกคน จึงทำให้งานเลี้ยงซาวเข่าวันนี้เป็นไปอย่างสนุกสนาน
มันเป็นวันที่หายากสำหรับกู้ฟางสี่ที่จะได้ดื่มเหล้ากุ้ยฮวาที่หอมหวานสักแก้ว วันนี้นางจึงมีความสุขมาก
เฉินเหมิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลา ตอนนี้เขาหยุดอีกฝ่ายไม่ให้ดำเนินการต่อเพราะเขารู้ว่าสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดเป็นความจริง แต่คำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากสตรีคนหนึ่ง มันน่าตกใจเกินไป!
อย่างไรก็ตามมันสมเหตุสมผลมาก
คนกลุ่มหนึ่งดื่มเหล้า กินซาวเข่า ร้องเพลง และหัวเราะเฮฮา บรรยากาศนั้นมีชีวิตชีวามาก
แต่ในขณะนี้ในร้านจิ่นฝู บรรยากาศไม่ค่อยดีนัก
ซูหมางกินอาหารตรงหน้าขมวดคิ้วเป็นรูปดาบแน่น และเรียกลูกจ้างเข้ามา “ทำไมอาหารจานนี้ถึงแตกต่างจากปกติ?”
ทุกครั้งที่ซูหมางมา หลี่ฝานจะมาต้อนรับเป็นการส่วนตัว แต่วันนี้หลี่ฝานออกไปทำธุระ เมื่อลูกจ้างคนนั้นเห็นว่าซูหมางบอกว่ารสชาติอาหารวันนี้ไม่เหมือนปกติ เขายังหาความแตกต่างไม่เจอ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “อาหารจานนี้เป็นอาหารที่พ่อครัวใหญ่ของเราทำ!”
“ที่นี่มีพ่อครัวคนเดียวหรือ?” ซูหมางขมวดคิ้ว
“คนเดียว?” ลูกจ้างคนนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อาหารที่นี่ถูกปรุงโดยอาจารย์หลี่และอาจารย์เกา ท่านลูกค้ากำลังพูดถึงพ่อครัวคนไหนหรือ?”
“ไม่เป็นไร ออกไปเถอะ!” เมื่อรู้ว่าอาหารวันนี้ไม่ใช่คนอื่นเป็นคนทำ ซูหมางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและโบกมือไล่อีกฝ่ายออกไป
ลูกจ้างคนนั้นเพิ่งเข้ามาใหม่และไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนเองเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงสงสัยเล็กน้อย นอกจากอาจารย์หลี่และอาจารย์เกาแล้วยังมีพ่อครัวคนไหนในครัวอีกหรือ เขาจึงนำเรื่องนี้ไปคุยกับลูกจ้างคนอื่น ประจวบเหมาะกับหลี่ฝานบังเอิญเดินผ่านมา จึงถามถึงลูกค้าคนนั้นทันที
เมื่อหลี่ฝานแน่ใจว่านั่นคือซูหมาง แต่เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่ซูหมางมารับประทานอาหารที่นี่ เขามาที่นี่เพื่อรับประทานอาหารที่ทำโดยกู้ฟางสี่? ไม่เช่นนั้นเขาจะถามทำไมว่าวันนี้พ่อครัวอีกคนอยู่ไหน?
ท่านอากู้มีธุระจึงขอลาไม่มาทำงานที่ร้าน เรื่องนี้ไม่ได้ดึงความสนใจของลูกค้ามากนัก ยังไงอาหารของท่านอากู้ก็ไม่ต่างอะไรกับอาหารที่อาจารย์หลี่และอาจารย์เกาทำ