ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2151 กู้จือเหวินถูกตัดหางปล่อยวัด
หากแต่ใต้เท้าซูรู้ได้อย่างไร? เขารู้ได้อย่างไรว่าอาหารจานนี้ไม่ใช่ฝีมือของกู้ฟางสี่ หลี่ฝานรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก และคิดว่าตนเองต้องบอกเรื่องนี้กับกู้เสี่ยวหวาน
ณ โรงน้ำชาอู่อวิ้น
ซูหลินเอนกายนอนอยู่บนตั่งนุ่มมองไปที่กู้จือเหวินผู้คุกเข่าอยู่แทบเท้า และถามอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้ามาที่นี่มีเหตุอันใดกัน?”
“นายท่าน ข้าน้อยเข้าบ้านไม่ได้! สาวใช้และคนรับใช้เหล่านั้นไม่ให้ข้าเข้าบ้าน มันไม่สมเหตุสมผลเลยจริง ๆ” กู้จือเหวินพูดอย่างโกรธเคือง
“เจ้าเข้าบ้านไม่ได้แล้วมาหาข้าทำไม?” ซูหลินงุนงง
“ซื่อจื่อเป็นคนมอบบ้านหลังนี้แก่ข้า และเป็นคนเตรียมคนรับใช้เหล่านั้น แต่พวกเขากลับไม่ให้ข้าเข้าไป และยังพูดว่า…” กู้จือเหวินร้อนรน
“พูดว่าอะไร?” ซูหลินถามอย่างเกียจคร้าน พลางกัดเล็บเล่นแก้เบื่อ
“พวกเขาพูดว่าท่านไม่ให้ข้าน้อยเข้าไป แต่ข้าน้อยจะเชื่อได้อย่างไร คนรับใช้พวกนั้นใส่ร้ายท่าน ซื่อจื่อท่านต้องตัดสินใจแทนข้าน้อย!” กู้จือเหวินคลานเข่าไปข้างหน้า หมายจะคว้ากางเกงของซูหลินไว้
ซูหลินหดขากลับอย่างรวดเร็ว จนทำให้กู้จือเหวินหน้าเกือบทิ่มพื้น
“ไม่ผิด ข้าสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้นเอง เจ้ามีปัญหาอะไรหรือ” ซูหลินเอ่ยอย่างไม่แยแส
“ซื่อจื่อ ข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้ว่าไปทำให้ซื่อจื่อขุ่นเคืองตรงไหน ซื่อจื่อท่านไม่ได้บอกแล้วหรือว่าจะให้ข้าน้อยติดตามท่าน แล้วข้าน้อยก็จะมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ท่านสัญญากับข้าน้อยแล้ว!” กู้จือเหวินตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ข้าเคยพูดอย่างงั้นหรือ ข้าสัญญากับเจ้าหรือ? เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้กันล่ะ” ซูหลินกล่าวเคล้ารอยยิ้ม เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นสีหน้าของกู้จือเหวินพลันเปลี่ยนไป “ข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่โดยเปล่าประโยชน์มานานแล้ว เจ้าหาที่อยู่ใหม่ได้หรือยังล่ะ? ข้าจะบอกเจ้าแล้วกันกู้จือเหวิน ข้าไม่ใช่คนใจดี ข้าปล่อยให้เจ้ากินอยู่อย่างเปล่าประโยชน์มานานขนาดนี้ก็ถือเป็นความเมตตาพอแล้ว ตอนนี้เจ้ายังต้องการอะไรอีก อย่างไรก็ตาม กรมคลังเจ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว ข้าลบชื่อเจ้าออกไปแล้ว!”
ใบหน้าของกู้จือเหวินซีดเผือดด้วยความตกใจ ก่อนโขกหัวกับพื้นไม่หยุด “ซื่อจื่อ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว แต่ความผิดพลาดเหล่านั้นเป็นฝีมือของท่านแม่และน้องสาวของข้า ข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ข้าน้อยไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน ไม่รู้ว่าทำให้ท่านไม่พอใจตรงไหน ท่านบอกข้ามาเถอะ ข้าจะเปลี่ยนแน่นอน ข้าจะเปลี่ยนแน่นอน!”
“เปลี่ยนอะไร? เจ้าอยากเปลี่ยนอะไร? ข้ารู้สึกว่าเจ้าขวางหูขวางตา และไม่อยากเห็นหน้าตาเจ้าอีกต่อไปแล้ว!”
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ ข้าน้อยขอร้อง ท่านกำลังจะฆ่าข้าทั้งเป็น ซื่อจื่อได้โปรดสงสารข้าด้วย ตอนนี้ข้าเหลือตัวคนเดียว ครอบครัวของข้าทิ้งข้าไปหมดแล้ว ท่านจะให้ข้าน้อยไปอยู่ที่ไหน!” กู้จือเหวินร้องไห้ฟูมฟาย
“เจ้าจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องของข้า” ซูหลินพูดด้วยความไม่พอใจและโบกมือ “ลากเขาออกไป ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไป!”
ทันใดนั้นมีคนเข้ามากระชากกู้จือเหวินขึ้นแล้วผลักเขาออกไป กู้จือเหวินรู้ว่าถ้าตัวเองก้าวออกไปในครั้งนี้ เขาอาจจะไม่ได้เจอซูหลินอีกเลยตลอดชีวิต และทั้งชีวิตเขาก็จะพังพินาศ ดังนั้นเขาจึงตะโกนว่า “ซื่อจื่อได้โปรดให้ข้าน้อยทำงานกับท่าน ตราบใดที่ท่านยอมให้ข้าติดตามไม่ว่าท่านจะให้ข้าทำอะไรก็ได้ จะใช้ข้าเป็นม้าเป็นวัว ข้าน้อยก็เต็มใจ! ซื่อจื่อ…”
“ช้าก่อน” ซูหลินเงยหน้าขึ้นและยกมือ
“ซื่อจื่อ…” ใบหน้าของกู้จือเหวินเต็มไปด้วยความสุข เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายโอนอ่อนตามคำพูดของเขาแล้ว
“ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็เต็มใจใช่หรือไม่?” ซูหลินถามขณะเล่นกับถ้วยชาในมือ
“เข้าน้อยเต็มใจ ข้าน้อยเต็มใจ แม้ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟก็เต็มใจ ซื่อจื่อตราบใดที่ท่านเก็บข้าไว้ข้างกาย ข้าน้อยจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อท่าน!” กู้จือเหวินเห็นซูหลินมีท่าทีผ่อนปรน สาบานอย่างรวดเร็วเพื่อแสดงความจงรักภักดี
ซูหลินพยักหน้าเอนตัวพิงตั่งนุ่มอีกครั้ง และพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปอยู่นาน “ข้าไม่ต้องการชีวิตของเจ้า แต่ตอนนี้ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำและข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!”
“ข้าน้อยยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อซื่อจื่อ และจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ!” กู้จือเหวินคุกเข่าลงและคำนับจนหน้าผากเกิดรอยแดง
“เจ้าไม่ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตของเจ้า แต่มันจะทำให้เจ้าสบาย!” ซูหลินกระตุกยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาความหมายได้ บรรยากาศหนาวเย็นเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้กู้จือเหวินกลัวมากนัก หากแต่รอยยิ้มนี้กลับทำให้กู้จือเหวินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
หลังจากออกจากโรงน้ำชาอู่อวิ้นแล้ว กู้จือเหวินยังคงมีความรู้สึกกังวลเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่าประโยคสุดท้ายที่เขาพูดว่า ‘ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อซื่อจื่อ’ ทำให้ซูหลินเก็บตัวเองไว้
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กู้จือเหวินรู้สึกกลัวเล็กน้อย!
เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ของซูหลิน จู่ ๆ ร่างกายกู้จือเหวินสั่นสะท้าน ตอนนี้ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้วและอากาศก็เย็นลงเรื่อย ๆ เมื่อกู้จือเหวินกลับมาที่บ้าน เขาก็ตรงปรี่เข้าไปเคาะประตูทันที เมื่อประตูถูกเปิดออกและเห็นว่าเป็นกู้จือเหวิน คนรับใช้ด้านในก็ต้อนรับเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีร่องรอยของความเย่อหยิ่งและท่าทางหยาบคายก่อนหน้านี้
ดูเหมือนว่าเรื่องที่กู้จือเหวินมาเคาะประตูก่อนหน้านี้มันเป็นภาพลวงตาของกู้จือเหวิน
กู้จือเหวินมองไปที่คนรับใช้และสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างตนเองด้วยท่าทางนอบน้อม เขาจึงต้องการถามอะไรบางอย่าง แต่เมื่อจะถาม คำพูดที่มาถึงริมฝีปากกลับเอ่ยออกมาไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้เป็นคนสนิทของซื่อจื่อ ไม่เช่นนั้นคนเหล่านี้คงไม่มีทางเปิดประตูให้เขาทันทีหลังจากเขาไปคุยกับซื่อจื่อมา
กู้จือเหวินไม่ใช่คนโง่ คนเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้!
เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยิ้มประจบสอพลอ ตอนนี้ถ้าเขายังปฏิบัติต่อสามคนนี้เหมือนบ่าวทาส เขาก็คงโง่เหมือนหมูจริง ๆ!
น่าเสียดายที่เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเอาใจพวกเขา แต่ทั้งสามคนเอาแต่ก้มหน้าและยืนอยู่ด้านข้างตลอดเวลาไม่มีใครสนใจกู้จือเหวินเลย กู้จือเหวินล้มเหลวในการทำให้พวกเขาพอใจ จึงรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะปริปากบ่นและเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
หญิงสาวที่เคยติดตามข้างกายเขาเห็นว่าเขาถูกตัดหางปล่อยวัด ใบหน้าของนางพลันมืดหมองยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก ไม่ใช่แค่คำดูถูกเท่านั้น แต่ยังยึดของมีค่ามากมายไปด้วย เมื่อครู่ที่เห็นตัวเองเข้าไปในบ้านไม่ได้ นางก็สาปแช่งและหมุนกายเดินบิดสะโพกจากไป