ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2154 รสนิยมของซื่อจื่อ
บทที่ 2154 รสนิยมของซื่อจื่อ
หลังจากที่คนคนนั้นกลับ รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหลินก็หายไปทันที จากนั้นเถ้าแก่เซี่ยวก็ถามขึ้น “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่ากู้จือเหวินกำลังวางแผนอะไรอยู่”
“ก็คงระเริงอยู่ที่หอนางโลมด้านนอก ข้าเคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง คนแบบนี้ไม่มีอะไรให้กลัว ว่าแต่เถ้าแก่เซี่ยว ข้าอยากดูการแสดงดี ๆ เมื่อไหร่เจ้าจะจัดการแสดงให้ข้ารับชมหรือ?” ซูหลินมองไปที่เถ้าแก่เซี่ยวอย่างมีความหมายในขณะที่กล่าว
อีกฝ่ายรีบเอนตัวไปด้านหน้าและเอ่ย “ข้าได้เตรียมการเรื่องสองคนนั้นไว้พร้อมแล้ว ซื่อจื่อมีเวลาว่างเมื่อใด ข้าจะจัดการแสดงให้รับชมทันที!”
“อืม ดี ข้าอยากดูใจจะขาดแล้ว ข้าไม่เคยดูกิจกรรมระหว่างพ่อลูกมาก่อน ฮ่าฮ่า มันต้องสนุกแน่ ๆ!” ซูหลินพูดพร้อมกับแค่นยิ้มออกมา เถ้าแก่เซี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ ตกใจมาก เหงื่อของเขาเริ่มออกพร้อม ๆ กันกับขาที่เริ่มสั่น
รสนิยมของซื่อจื่อนั้น…
เขาไม่กล้าพูดอะไรมาก จึงขอตัวไปเตรียมการให้พร้อม
ทางฝั่งของกู้ฉวนลู่ เขารอจนกระทั่งเถ้าแก่เซี่ยวกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าโศกเศร้าและท่าทางถอนใจของเขา ก็รู้สึกว่าโอกาสของตัวเองมาถึง “เถ้าแก่เซี่ยว เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือ?”
“เห้อ ช่วงนี้ซื่อจื่ออารมณ์ไม่ดี เขาตำหนิพวกข้าทุกคนเมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ตอนนี้ซื่อจื่อเหมือนเสือ ใครจะไปรู้ว่าครั้งหน้าเขาจะไล่พวกเราออกหรือเปล่า” เถ้าแก่เซี่ยวพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ซื่อจื่ออารมณ์ไม่ดีหรือ ทำไมเขาถึงอารมณ์เสียล่ะ” กู้ฉวนลู่ถามอย่างร้อนใจ
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ที่ราชสำนักมีเรื่องวุ่นวายมากมาย ซื่อจื่อเองก็ไม่ได้มาที่โรงน้ำชาอู่อวิ๋นหลายวันแล้ว หากแวะมา เขาก็ดื่มชาเพียงถ้วยสองถ้วย อีกอย่างเมื่อวานนี้ลูกจ้างในร้านไม่ทันระวังทำน้ำชาหกใส่ร่างเขา ซื่อจื่อเลยโมโหและทุบตีลูกจ้างคนนั้น เห้อ… ต่อมาข้าก็เห็นว่าร่างกายลูกจ้างคนนั้นชุ่มไปด้วยเลือด ไม่ต้องพูดเลยว่าน่าสังเวชแค่ไหน”
“การที่เขาถูกซื่อจื่อทุบตี ถือเป็นโชคชะตาที่ดี คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้พบซื่อจื่อด้วยซ้ำ!” กู้ฉวนลู่พูดด้วยความโกรธ “หากข้าอยู่ตรงนั้น ข้าจะทำให้ความโกรธของเขาทุเลาลง และเมื่อหายโกรธ ซื่อจื่อก็จะได้รู้สึกดีขึ้น!”
เถ้าแก่เซี่ยวถาม “คุณชายกู้ ครั้งก่อนเจ้ากล่าวว่าเจ้ายินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อซื่อจื่อ เจ้ายังยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุขอยู่หรือไม่?”
กู้ฉวนลู่รีบพยักหน้าทันที “แน่นอนว่าข้าเต็มใจ ซื่อจื่อชื่นชอบอะไร ข้ายินดีที่จะทำทั้งหมด ขอแค่เขาพึงพอใจ!”
“สิ่งนั้น…” เถ้าแก่เซี่ยวลังเลใจเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเผยความกังวลอย่างปิดไม่มิด “งานอดิเรกของซื่อจื่อแตกต่างจากคนอื่น ๆ…”
“ต่างกันอย่างไร ตราบใดที่ข้าทำได้ ข้าจะทำ!” ตอนนี้กู้ฉวนลู่พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อประจบประแจงซูหลิน เพื่อที่จะได้เห็นอีกฝ่ายมีความสุข
“เจ้าทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน… เพียงแค่…” เถ้าแก่เซี่ยวพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าตกลง เจ้าต้องไม่คืนคำ เพราะหากเจ้ากลับคำ ข้าเกรงว่าซื่อจื่อจะไม่พอใจขึ้นมาอีก หากเจ้าอยากเจอซื่อจื่อก็อย่าแม้แต่จะคิดเปลี่ยนคำพูด!”
“ข้ารู้ ข้ารับปาก เถ้าแก่เซี่ยว ขอแค่เจ้าบอกมาว่าคืออะไร ข้าจะทำมันอย่างแน่นอน!” กู้ฉวนลู่พูดอย่างเคร่งขรึม
เถ้าแก่เซี่ยวมองไปที่อีกฝ่ายอย่างมีความหมายและเอ่ย “หากเจ้าตกลง มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าจะส่งคนไปรับเจ้าเมื่อถึงเวลา หากวันนี้เจ้าตกปากรับคำ ข้าจะกลับไปรายงานซื่อจื่อ เจ้าเองก็กลับไปเตรียมตัวให้ดีเถิด เมื่อถึงเวลารถม้าจะไปรับเจ้า ส่วนเรื่องสถานที่อาจจะต้องขอปิดเป็นความลับ ลำบากคุณชายกู้ด้วย!”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ลำบากเลย ตราบใดที่ซื่อจื่อมีความสุข จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
“นายน้อยกู้ไม่ต้องห่วง นี่เป็นเรื่องดี ขอแค่เจ้าตั้งใจ มันไม่ได้อันตรายถึงชีวิต กลับกันยังง่ายมากอีกด้วย เจ้าทำใจให้สบายเถิด หากเจ้าทำสำเร็จ ซื่อจื่อก็จะมีความสุข และไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร เจ้าก็สามารถปรึกษากับเขาได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ซื่อจื่อเป็นคนใจกว้าง เขาจะไม่เก็บเรื่องในอดีตมาถือสา ในอนาคตตระกูลกู้ของเจ้าจะสดใส!”
สิ่งที่เถ้าแก่เซี่ยวพูดทำให้กู้ฉวนลู่มีความสุขมาก แต่เมื่อนึกถึงกู้จือเหวินที่โครมครามไล่เขาออกจากบ้านเพื่อหาความมั่งคั่งและอำนาจให้ตัวเอง กู้ฉวนลู่ก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่ออนาคตที่ดีของกู้จือเหวิน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายตัดความสัมพันธ์กับเขาแล้ว ดังนั้นในอนาคต…
กู้ฉวนลู่ยิ้มเยาะที่มุมปาก
ในคืนวันที่สอง รถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่เงียบ ๆ ที่ประตูทางเข้า กู้ฉวนลู่ที่แต่งตัวอย่างเรียบร้อยเข้าไปในรถม้า ทันทีที่เขาเข้าไปก็ถูกคนปิดตาเอาไว้ กู้ฉวนลู่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เถ้าแก่เซี่ยวบอกไว้ก่อนหน้านี้ จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว เขาไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ ทั้งยังถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำซึ่งทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด กู้ฉวนลู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะไปไหน
ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง คนสองคนที่นั่งขนาบข้างพาเขาลงมาและเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงดังเอี๊ยดที่ประตู เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนจากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูไล่หลัง
ขณะที่กู้ฉวนลู่กำลังจะแกะผ้าสีดำออกจากตา คนที่อยู่ด้านข้างก็ตะคอกออกมาเสียงดัง “อย่าขยับ!”
เขาหยุดการกระทำทันที
เครื่องหอมในห้องกำลังเผาไหม้ กู้ฉวนลู่ซึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหม่อลอยเล็กน้อย ในห้องนี้ไม่มีแม้แสงไฟ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะสวมผ้าปิดตาสีดำก็พอมองเห็นได้บ้างลาง ๆ ทว่าตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไรเลย นี่พิสูจน์ได้ว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติในห้องที่มืดสนิทนี่
ห้องเงียบมาก แต่ไม่ว่าจะเงียบแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่ากู้ฉวนลู่จะได้ยินเสียงบางอย่าง เช่นเสียงหายใจของใครบางคนที่ไม่ใช่เขา
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ทำไมคนผู้นั้นถึงไม่พูด?
กู้ฉวนลู่ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่นานแค่ไหน ขาและเท้าของเขาชาเล็กน้อย เขาจึงรีบคลำไปนั่งบนเก้าอี้ท่ามกลางความมืด เมื่อพบกาน้ำชาและถ้วยชา กู้ฉวนลู่ก็เลือกที่จะเทดื่มและรออย่างเงียบ ๆ
เนื่องจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศในค่ำคืนนี้จึงเย็นขึ้นเล็กน้อย
กู้ฉวนลู่รออย่างสงบ จริง ๆ เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้ามากนัก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนขึ้น เขาเริ่มใช้มือลูบร่างกายของตัวเองเบา ๆ ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร กู้ฉวนลู่รู้สึกราวกับมีไฟอยู่ในร่างกาย กองเพลิงนี้ค่อย ๆ กัดกร่อนเขาทีละเล็กละน้อย