ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2155 ผิดทำนองคลองธรรม
บทที่ 2155 ผิดทำนองคลองธรรม
ทันใดนั้นมือเย็น ๆ คู่หนึ่งก็โอบรอบคอของเขา และร่างนั้นก็เล้าโลมร่างกายตนเองพร้อมกับส่งเสียงในลำคอเบา ๆ
กู้ฉวนลู่ยังคงมีสติอยู่เล็กน้อย และรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างคุ้นเคย ราวกับว่าเขาเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ทุกการกระทำก็ยังคงดำเนินต่อ อีกฝ่ายสอดมือเข้าไปในเสื้อคลุมของกู้ฉวนลู่ มือเย็น ๆ คู่นั้นทำให้ร่างกายที่ร้อนรุ่มรู้สึกเย็บวาบเป็นครั้งคราว กู้ฉวนลู่รู้สึกเพียงว่าไฟราคะในร่างของตนถูกใครบางคนราดด้วยน้ำมัน และตอนนี้มันก็เริ่มลุกลามขึ้นเรื่อย ๆ
กู้ฉวนลู่ไม่มีเวลาคิดว่าเขาเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหนมาก่อน เขาพลิกตัวกลับไปกอดคน ๆ นั้นไว้ในอ้อมแขน
เขาไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะถอดผ้าปิดตาออกแล้วก็ยังมองไม่เห็นเนื่องจากอยู่ในห้องที่มืดสนิท
ตอนนี้กู้ฉวนลู่ควบคุมอะไรไม่ได้มากนัก ร่างกายของเขาร้อนราวกับจะไหม้เป็นเถ้าถ่าน
เสียงของคนที่อยู่ข้าง ๆ แหบแห้งขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่กู้ฉวนลู่ฉีกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกอย่างรีบร้อน
พอกู้ฉวนลู่ฉีกเสื้อผ้าของคนตรงหน้าเสร็จ เขาก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนเองออก อย่างไรก็ตาม เมื่อโน้มตัวลงเขาก็ต้องประหลาดใจ มีบางอย่างผิดปกติ หน้าอกของคนตรงหน้าแบนราบราวกับไม่ใช่สตรี!
จิตใจของกู้ฉวนลู่สับสน ทว่าเขาไม่ได้มีสติครบถ้วนพอที่จะไตร่ตรอง ไฟในร่างกายร้อนแรงราวกับจะแผดเผาเขาเสียให้ได้ ในตอนนี้กู้ฉวนลู่คิดอยู่อย่างเดียว เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาแค่ต้องการระบายความใคร่โดยเร็วที่สุด
เขาไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
ชีฉิงเซียงหรือเครื่องหอมปลุกอารมณ์ เป็นเครื่องหอมที่ร้ายกาจและมีฤทธิ์ร้ายแรง มันสามารถปลุกอารมณ์ของเสือได้แม้สูดดมเพียงเล็กน้อย
ในคืนที่มืดมิด มีคนห้าถึงหกคนนั่งและยืนอยู่ด้านนอก พวกเขากำลังมองเหตุการณ์ตรงหน้าผ่านกระจกใส โดยคนที่นั่งในตำแหน่งแรกก็คือซูหลิน
ถัดไปคือเถ้าแก่เซี่ยวและฉางหยวนที่กำลังเฝ้าดูการกระทำอันเร่าร้อนตรงหน้าด้วยความกระอักกระอ่วน
หากว่าพวกเขาเป็นเพียงชายหญิงธรรมดา พวกเขาคงจะตื่นเต้นมากที่ได้ร่วมรับชม
ทว่าทั้งสองคนที่กำลังทำการแสดงอยู่นั้นถูกจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับซูหลิน
เขาชี้ไปที่กู้ฉวนลู่ที่กำลังมุ่งมั่นอย่างหนักอยู่ในห้องด้านใน และถามเถ้าแก่เซี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “เหล่าเซี่ยว เจ้าว่าหากเขาฟื้นคืนสติในวันรุ่งขึ้น และค้นพบว่าเขากำลังนัวเนียอยู่กับใคร เขาจะแสวงหาความตายหรือไม่… ฮ่าฮ่า สนุก สนุกมาก ข้าไม่เคยเห็นอะไรที่น่าสนุกเช่นนี้มาก่อน ไม่เลวเลยจริง ๆ!”
เถ้าแก่เซี่ยวทนดูฉากด้านในไม่ไหวจึงรีบก้มหัวลงแล้วเอ่ย “กะ… กู้ฉวนลู่ให้สัญญาว่าเขาเต็มใจ เขาบอกว่าตราบใดที่ซื่อจื่อมีความสุข เขาก็ยินดีที่จะทำทุกอย่าง!”
“ฮ่าฮ่า!” ซูหลินหัวเราะเสียงดังและกล่าว “การแสดงนี้หาดูได้ยากจริง ๆ เป็นการแสดงในรอบพันปี ชีวิตนี้ไม่เสียเปล่าที่ได้เห็น ฮ่าฮ่า ข้าดูพอสมควรแล้วล่ะ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็นำตัวพวกเขากลับไปส่งเงียบ ๆ และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้าใจไหม!”
“เข้าใจแล้ว!” ทุกคนตอบรับพร้อมกัน
ซูหลินเย้ยหยัน “หึ หากผู้ใดกล้าวางแผนต่อต้านข้า ข้าก็จะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองเช่นเดียวกัน!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไปพร้อมกับคนของตัวเอง
สุดท้ายก็เหลือเพียงฉางหยวนและเถ้าแก่เซี่ยวสองคน
ฉางหยวนไม่กล้าดูฉากข้างใน แต่เมื่อเห็นซูหลินออกไป เขาก็รีบหันหลังและถามเถ้าแก่เซี่ยว “เถ้าแก่ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี”
“จะรอให้เรื่องมันบานปลายหรืออย่างไร เร็วเข้า เปิดประตูหน้าต่าง และแยกทั้งสองคนออกจากกัน หลังจากใส่เสื้อผ้าให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งพวกเขากลับโดยด่วน!” เถ้าแก่เซี่ยวไม่กล้าที่จะมอง ดังนั้นหลังจากที่ออกคำสั่งเสร็จเขาจึงเดินออกไป
ฉางหยวนตกลงและรีบทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างรีบเร่ง
ระหว่างค่ำคืนอันเงียบสงบ รถม้าวิ่งกลับมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ถูกหามกลับมาเหมือนหมูที่ตายแล้ว
ไม่นานนัก เถ้าแก่เซี่ยวก็เห็นฉางหยวนเดินทางกลับมา จึงเอ่ยปากถาม “ส่งพวกเขาเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“เรียบร้อย!”
“ยังไม่ฟื้นใช่ไหม?”
“ยังไม่ฟื้น ทั้งสองเหมือนฝาแฝดตัวติดกัน แยกกันแทบไม่ออก เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแยกร่างทั้งสองคนและให้ยาแก้พิษแก่พวกเขา ตอนนี้พวกเขาไม่ได้สติ สภาพเหมือนหมูที่ตายแล้วไม่มีผิด!”
“หึ นี่แหละฤทธิ์ของชีฉิงเซียง ไม่ต้องถามเลยว่าเมื่อมนุษย์สูดดมเข้าไปจะเป็นอย่างไร แม้กระทั่งเสือ หากได้รับยานี้ก็ยังถูกฆ่าได้โดยง่าย!” เถ้าแก่เซี่ยวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฉางหยวน “เถ้าแก่เซี่ยว หากในอนาคตกู้ฉวนลู่และกู้จือเหวินรู้เรื่องนี้ เราควรทำอย่างไร”
“หึ ทำอย่างไรน่ะหรือ เขาฟ้องข้าได้ไหมล่ะ ข้าไม่ได้ไปรับเขามา และเขาไม่รู้ว่าใครอยู่ที่นั่นบ้าง เขาจะกล้าฟ้องเหรอ เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นหรอก!”
ฉางหยวนพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
“กำชับทุกคนให้ปิดปากให้สนิท หากมีข่าวลือรั่วไหลออกมา จะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้!” เถ้าแก่เซี่ยวพูดด้วยใบหน้าที่เหี้ยมโหด
ฉางหยวนตอบรับและเดินออกไป
ค่ำคืนอันมืดมิดค่อย ๆ ผ่านพ้น แสงสีแดงเพลิงส่องมาจากทางทิศตะวันออก เป็นสัญญาณบอกว่ารุ่งอรุณมาถึงแล้ว
เมื่อกู้เสี่ยวหวานลุกขึ้นจากเตียง นางก็มองดูท้องฟ้าด้านนอก
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง รุ่งสางก็มาถึงอย่างล่าช้า นางลุกขึ้นเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนอาจั่วที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างนอก หลังจากแต่งตัวเสร็จ นางก็เดินออกไปยังลานหน้าบ้าน
เมื่อรองเท้าผ้านุ่มเหยียบลงบนพื้นที่ปูด้วยหิน รอยเท้าก็ปรากฏขึ้น กู้เสี่ยวหวานทอดสายตามองออกไปด้านหน้า ในที่สุดค่ำคืนก็ผ่านพ้นไป และรุ่งอรุณก็ฉีกความมืดออกเป็นชิ้น ๆ เผยให้เห็นแสงของวันใหม่
กู้เสี่ยวหวานมองไปยังดอกบัวที่เหี่ยวเฉาในสระ กู้หนิงอันที่เพิ่งกลับบ้านก่อนรุ่งสางและเหนื่อยล้าพบว่าพี่สาวกำลังตกอยู่ในภวังค์ริมสระบัว
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่หรือ” กู้หนิงอันถามออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงเขา นางหันศีรษะไปมอง กำลังจะเอ่ยทักว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงตื่นแต่เช้าตรู่ แต่เมื่อเห็นว่าเขายังสวมเสื้อผ้าของเมื่อวานและใบหน้าของเขาก็ดูเหนื่อยล้าเต็มที นางจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาส่งคนมาบอกว่าจะกลับดึก แต่คิดไม่ถึงว่า…
“เจ้าเพิ่งจะกลับมาหรือ” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างเป็นทุกข์ “เจ้าใช้เวลาอยู่ในกรมคลังทั้งคืนเลยหรือ”