ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2163 ประท้วง
บทที่ 2163 ประท้วง
เรื่องราวเคยเกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นโค่วตันยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น และเนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นน่าหวาดกลัวเกินไป ทุกคนในเมืองหลวงที่เคยประสบเหตุการณ์นั้นล้วนจำได้ดี
รู้ไหม ข้อตกลงใหม่ที่ดำเนินการโดยขุนนางคนนั้นกลับดีขึ้นในภายหลัง อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้ผู้คนแก้ปัญหาได้มากมาย แต่ต่อมาความดีความชอบนี้กลับถูกมอบให้กับผู้อื่น
หลังจากฟังคำอธิบายของโค่วตันแล้ว กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ซูหลินต้องการเลียนแบบเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนเพื่อที่กู้หนิงอันจะได้ถูกลงโทษในลักษณะเดียวกัน หญิงสาวไม่กล้าอยู่เฉยอีกต่อไป หากซูหลินทำตามแผนการอย่างในอดีตจริง ๆ เหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นจะต้องมีการปะทะกันระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตามชาวบ้านจะมีอำนาจต่อต้านเจ้าหน้าที่และทหารที่มีอาวุธครบมือได้อย่างไร ตราบใดที่มีอาวุธอยู่ในมือผลที่ตามมาก็คือหายนะ
กู้เสี่ยวหวานไม่กล้านิ่งเฉยและออกคำสั่งทันที “โค่วไห่รีบไปที่จวนใต้เท้าหลินและขอให้เขาพาคนไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด!”
“โค่วตันไปหาใต้เท้าซูที่กองกำลังรักษาความสงบ คอยดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป? พูดตามที่ข้าพูด อย่านำอาวุธติดตัวไป เอาไปเพียงโล่เท่านั้น”
“อาโม่ อาจั่วไปที่กรมคลังกันเถอะ คอยจับตาดูผู้นำการประท้วงให้ดี อย่าให้เขาทำอะไรวู่ว่ามได้เด็ดขาด”
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ กำลังเตรียมจะออกจากจวน กู้ฟางสี่และกู้เสี่ยวอี้ก็เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นและอยากจะตามไปด้วย แต่กู้เสี่ยวหวานไม่มีเวลาสนใจพวกนางในตอนนี้ “ท่านอา เสี่ยวอี้ พวกท่านอยู่ในบ้าน ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด! ที่นั่นคนมากมาย ถ้าพวกท่านไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เราไม่สามารถดูแลพวกท่านได้ โปรดรอ
“เสี่ยวหวาน หนิงอัน…มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า!” กู้ฟางสี่ตามหลังมาและถามขึ้นด้วยความลำบากใจ
กู้เสี่ยวหวานเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ได้หยุดฝีเท้าแต่ก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “ท่านอา ไม่ต้องกังวล ข้าจะพาหนิงอันกลับมาอย่างปลอดภัย!”
หลังจากพูดจบ ก็ออกจากสวนชิงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับมามอง และตรงไปที่กรมคลังทันที
เมื่อมาถึงกรมคลัง รถม้าไม่สามารถเข้าไปได้ทำให้ต้องจอดไว้บริเวณด้านนอกและเดินทางเข้าไป แต่ตอนนี้ถนนรอบ ๆ หนาแน่นไปด้วยผู้คนจึงไม่สามารถผ่านได้ ไม่ต้องพูดถึงรถม้าแม้แต่เดินก็ไม่อาจเข้าไปได้
คนจำนวนมากแบบนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ กู้หนิงอันจะไม่มีวันฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก
กู้เสี่ยวหวานขอให้อาโม่จอดรถม้าไว้ด้านข้างและไปร้านอาหารที่ใกล้ที่สุดทันที จากนั้นขึ้นไปชั้นบนเพื่อดูสถานการณ์
เมื่อเห็นประตูใหญ่ของกรมคลัง นอกเหนือจากทหารยามอาวุธครบมือไม่กี่คนก็มีเพียงกู้หนิงอันเท่านั้นที่กำลังอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ชาวบ้านฟัง
แต่เมื่อชาวบ้านเห็นเขาออกมาเพียงคนเดียว คนเหล่านั้นก็ไม่ฟังคำอธิบายของกู้หนิงอัน โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวโจก พวกเขาไม่ฟังคำอธิบายของกู้หนิงอันเลย
“พ่อหนุ่ม หนวดเจ้ายังขึ้นไม่เต็มที่เลย เจ้าจะอธิบายอะไรได้ อ่า…เจ้าควรอธิบายให้เราฟัง!”
“ข้า กู้หนิงอัน…”
“กู้หนิงอันหรือ อ่อ เจ้าเป็นจอหงวนคนใหม่สินะ ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนเสนอนโยบายทะเบียนบ้าน!” คนข้างหน้าตะโกนขึ้นเสียงดัง
เมื่อผู้คนได้ยินก็ตะโกนเสียงดังโวยวาย “จอหงวนอะไรกัน ไร้สาระ! ถุย!”
เมื่อความเดือดดาลของผู้คน กู้หนิงอันก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเช่นกัน แต่เขาก็ยังโค้งคำนับและพูดด้วยความเคารพ “ทุกท่าน เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของเราจริง ๆ ข้าได้ตรวจสอบข้อมูลและแก้ไขข้อมูลแล้ว อีกไม่กี่วันสมุดทะเบียนบ้านของทุกคนก็จะพร้อมใช้งาน! ได้โปรดเชื่อใจช้า ใช้เวลาไม่ถึงสองวัน!”
“สองวันหรือ? หึ! ท่านแม่ของข้าจะรอถึงสองวันได้เรอะ ท่านแม่ของข้าพร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ ถ้าข้าไม่ได้ไปเจอท่านแม่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนนางจะไป ข้า…ข้าจะสู้กับเจ้า!”
“หากธุระของข้าไม่สำเร็จ ข้าจะเสียหายถึงหนึ่งพันตำลึง เจ้าจะชดเชยข้าได้อย่างไร!”
“คนไข้ของข้าคนนั้น ถ้านางตาย ข้าก็คงไม่สามารถเป็นหมอได้ต่อ ถึงเวลานั้นข้าจะมาเอาเรื่องกับเจ้า!”
“พ่อหนุ่ม เจ้ายังเด็กเกินไป ดูสิ ตอนนี้เราเสียหายหนักมาก พ่อค้าแม่ขายเสียเงินจำนวนมาก หมอก็รักษาคนไข้ไม่ได้ ไม่สามารถไปดูใจคนในครอบครัวได้ พ่อหนุ่ม เจ้าอยากโดนฟ้าผ่าหรือ!”
คนมากกว่าสองร้อยคนชี้ไปที่กู้หนิงอันและสาปแช่งเขา การที่เขาออกมาเป็นการกระตุ้นความโกรธของประชาชนมากยิ่งขึ้น
“เอานโยบายแย่ ๆ มาควบคุมเราได้อย่างไร เรากินไม่อิ่มสวมไม่อุ่น เหตุใดพวกเจ้าไม่หาวิธีที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นล่ะ พวกเจ้าเอาแต่เล่นตลกกับเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ขุนนางอย่างพวกเจ้าเอาแต่โกงกิน!”
ภายใต้การยุยงของคนด้านหน้า คนที่เหลือต่างสาปแช่งไม่หยุด เสียงระเบ็งเซ็งแซ่แทรกดังอยู่หน้ากรมคลัง หากเกิดการลงไม้ลงมือกันขึ้น ผลที่ตามมาต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนมากเดินมาทางด้านนี้ กู้เสี่ยวหวานหันศีรษะไปมองและเห็นซูหมางขี่ม้าตัวใหญ่มาพร้อมอาวุธครบมือ
สำหรับผู้คุมที่ตามเขามานั้น พวกเขาไม่ได้พกอาวุธและมีเพียงโล่ป้องกันตัวเท่านั้น ซูหมางสั่งการและโบกมือให้ทหารที่ถือโล่กระจายตัวล้อมรอบชาวบ้านกว่าสองร้อยคนไว้
บางคนขี้ขลาดแต่ได้รับการสนับสนุนให้มาที่นี่เมื่อเห็นว่าทางการมาปราบปรามก็กลัวจนหน้าซีด แข้งขาอ่อนแรง
ตั้งแต่สมัยโบราณ ประชาชนต่อสู้กับทางการไม่ได้ ชาวบ้านรู้ว่าหากยังต่อสู้กับทางการต่อไป เรื่องนี้จะไม่มีวันจบลงอย่างดี
เมื่อหัวหน้าการชุมนุมเห็นว่าชาวบ้านพากันนแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ทั้งสามก็รู้ว่าหากพวกเขาไม่ดำเนินการต่อคนเหล่านี้อาจต่อต้านพวกตนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบตะโกนว่า “ทุกท่านเห็นว่าพวกเราทำอะไรผิดหรือไม่ แม้แต่ทางการก็ส่งทหารมาปราบปรามเรา เราทำอะไรผิด เรื่องนี้ทางการเป็นฝ่ายผิดต่างหาก ตอนนี้พวกเขาทำผิดเจ้าหน้าที่ก็ออกมาปกป้องกันเอง แม้กระทั่งเอามีดมาจี้คอผู้บริสุทธิ์และคนยากจนอย่างเรา เราก็เป็นคนเหมือนกัน เราก็อยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เช่นเดียวกัน มาทำแบบนี้กับเราได้อย่างไร! พวกเขาไม่เห็นว่าเราเป็นคนเลย! พวกเขาทำผิด แต่ก็ใช้กำลังมาปราบปรามเรา พวกท่านเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือ?”