ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2169 ประสบความสำเร็จ
บทที่ 2169 ประสบความสำเร็จ
เหตุการณ์วันนี้สร้างความโกรธให้ซูเผยอันเป็นอย่างมาก เขาสั่งให้ขุนนางทุกคนในกรมคลังติดตามกู้หนิงอันไปตรวจสอบเรื่องทะเบียนบ้านอีกครั้ง และขู่ว่าหากเกิดข้อผิดพลาดอีกจะปลดคนผู้นั้นออก
แรกเริ่มมีเพียงกู้หนิงอันทำงานคนเดียว ตอนนี้มีคนเข้ามาช่วยงานตนมากกว่ายี่สิบคน ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
หากแต่กู้เสี่ยวหวานยังสงสัย แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายมาช่วยงาน แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นได้ภายในเวลาไม่กี่วันหรือไม่
หายากที่กู้หนิงอันจะกลับบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด กู้เสี่ยวหวานรอเขาอยู่ภายในห้องโถง สองพี่น้องใช้เวลาคุยกันอยู่นาน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่เมื่อกู้หนิงอันออกจากห้องของกู้เสี่ยวหวาน ท่าทางของเขาดูโล่งใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กู้เสี่ยวหวานพาซูหมางไปที่ห้องขังเพื่อรับโค่วตันออกมา เวลานั้นเป็นสถานการณ์เร่งด่วน โค่วตันจึงต้องแสดงออกมาเช่นนั้น
เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ก็ได้เวลาส่งทะเบียนบ้านแล้ว
ซูเผยอันมองดูชายหนุ่มในชุดสีฟ้าทะมัดทะแมงที่กำลังก้มหน้าเก็บข้าวของ ชุดสีฟ้าครามที่ปักลายใบไผ่บริเวณปลายแขนเสื้อทำให้บุคคลนี้ดูอ่อนโยนราวกับต้นไผ่
ซูเผยอันมองกู้หนิงอันอยู่นานด้วยท่าทางที่อธิบายไม่ได้ จากนั้นเดินเข้าไปและพูดว่า “กู้จู่ซื่อ ท่านพร้อมหรือยัง? ได้เวลาเข้าวังแล้ว!”
“ใต้เท้า ข้าพร้อมแล้ว!” กู้หนิงอันเตรียมทุกอย่างเสร็จก็หันกลับมา
กู้เสี่ยวหวานยังคงฝึกคัดอักษรอยู่ที่บ้าน รอให้กู้หนิงอันกลับมา วันนี้ทะเบียนบ้านจะได้รับการตรวจสอบอีกครั้ง และครั้งนี้จะผิดพลาดไม่ได้!
ซูหลินไม่คาดคิดว่ากู้หนิงอันจะสามารถจัดทำทะเบียนบ้านที่ถูกต้องได้ และมันทำให้เขาเดือดดาล
เขารู้ว่าสิ่งนี้เป็นฝีมือของซูเผยอัน!
ทุกคนในกรมถูกส่งออกไปตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง และทุกคนทำงานด้วยความทุ่มเทเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องมา
ซูหลินนั่งนิ่งอยู่ในท้องพระโรงด้วยใบหน้ามืดมน กู้หนิงอันยืนอยู่ในห้องโถงและพูดทุกอย่างฉะฉาน หลังจากได้ยินสิ่งนี้ฮ่องเต้ก็พยักหน้าราวกับว่าเขาเห็นด้วยกับแนวนางของกู้หนิงอัน
เมื่อเห็นว่าคนที่เขาต้องการใส่ร้ายแสดงท่าทีอวดดี ซูหลินก็รู้สึกแย่ลง แม้ว่าหมิงอ๋องจะส่งสายตาบอกให้เขาใจเย็น ๆ แต่เขาก็ยังก้าวออกไปหยุดกลางท้องพระโรง “ฝ่าบาท เมื่อสองสามวันก่อนเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านปิดล้อมกรม คนมาชุมนุมกันที่หน้ากรมมากกว่าสองร้อยคน ว่ากันว่าทะเบียนบ้านที่ให้มาข้อมูลไม่ถูกต้อง! ไม่เคยเกิดการชุมนุมใหญ่ในต้าชิงมาก่อน หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการสอบสวนอย่างเข้มงวด ชาวบ้านเหล่านั้นจะไม่มีทางไม่ได้รับความยุติธรรม ข้าเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ขึ้นอีก!”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ใต้เท้าซู เกิดอะไรขึ้น?” ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเอ่ยถามใต้เท้าซูหากแต่ไม่รู้ว่าต้องการถามใต้เท้าซูคนไหน!
ทั้งซูเผยอันและซูหมางก้าวออกมา เมื่อทั้งสองเห็นว่าอีกฝ่ายออกมา ก็ไม่รู้ว่าจะให้ผู้ใดพูดก่อน
หลังจากที่ทั้งสองมองหน้ากัน ซูเผยอันก็พูดว่า “ฝ่าบาท เนื่องจากการจดทะเบียนของทะเบียนบ้านในระยะแรกนั้นยุ่งยากเกินไปและขาดกำลังคน ดังนั้นข้าจึงเชิญบัณฑิตจำนวนมากมาช่วย แต่ใครจะรู้ว่าการลงทะเบียนเหล่านั้นจะไม่ครอบคลุมถึงทุกพื้นที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาด วันก่อนมีชาวบ้านหลายคนต้องการออกจากเมืองหากแต่ออกไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงรวมตัวกันที่กรมคลัง แต่ต่อมาเราได้ออกหนังสือผ่านทางชั่วคราวเพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้พวกเขาชั่วคราว”
“ใต้เท้าหนีล่ะ? เรื่องใหญ่เช่นนี้เหตุใดถึงไม่มารายงานข้า หากเกิดการบาดเจ็บล้มตายในการชุมนุมใหญ่ พวกเจ้าอยากจะเป็นจางซุ่นอีกคนงั้นหรือ?” เสียงของซูเทียนซื่อดังกึกก้องน่าเกรงขาม
ทันทีคำพูดเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมา ก็เกิดความเงียบขึ้นในท้องพระโรง
ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อเวลาผ่านมาสิบกว่าปี แต่เหตุการณ์นั้นก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง เมื่อคิดถึงแล้วก็ได้แต่ขนลุกซู่ บางคนที่รู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องนี้ขาแข้งอ่อนแรงจนไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง!
ซูเทียนซื่อมีสีหน้าโกรธขึ้ง ตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่เด็กชายอายุไม่กี่ขวบเท่านั้น การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างทหารและพลเรือนเกิดขึ้นในเมืองหลวง ไม่เพียงแต่จางซุ่นที่ถูกประหารชีวิต แม้แต่ทหารบางคนที่ได้รับบาดเจ็บในเวลานั้นก็ถูกลงโทษอย่างรุนแรง
เช่นนั้นความโกรธของประชาชนจึงสงบลง
ในเวลานั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าเศร้าที่สุดนับตั้งแต่อาณาจักรต้าชิงก่อตั้ง และเกือบทำให้อดีตฮ่องเต้สูญเสียอำนาจ
เหตุการณ์นี้กระตุ้นปัจจัยบางอย่างทำให้แม่ทัพเสี่ยวถานและภรรยาถูกศัตรูสังหารอย่างไร้ความปรานี ทั้งเหตุการณ์ภายนอกและภายในรุมเร้า สุขภาพของฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ดีอยู่แล้ว จึงทำให้ร่างกายของเขาทรุดลงเรื่อย ๆ
บรรยายกาศภายในท้องพระโรงยังคงเงียบสนิท เมื่อฮ่องเต้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง ขุนนางหลายคนจึงก้มหน้าด้วยตวามหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้
ในเวลานั้นซูหมางประจำการอยู่ที่ชายแดน แม้ว่าเขาจะไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงด้วยตาของตัวเอง แต่เขาได้พบกับร่างไร้วิญญาณของแม่ทัพเสี่ยวถานและภรรยา เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้ากลัวว่าประชาชนจะปะทะกับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปยังกรมทันทีเพื่อรักษาความสงบ! และป้องกันความเป็นไปได้ของการต่อสู้ด้วยอาวุธ!”
“มีคนธรรมดามากกว่าสองร้อยคนมาก่อความวุ่นวาย อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่าพวกเจ้าส่งคนไปมากกว่าห้าสิบคน พวกเจ้าไม่กลัวเกิดการสูญเสียจำนวนมากงั้นหรือ?”
“ฝ่าบาทโปรดใจเย็น พวกกระหม่อมไม่ได้พกอาวุธ และนำไปเพียงโล่ป้องกันตัว เมื่อชาวบ้านเห็นว่าพวกเราไม่ได้พกอาวุธจึงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น!” เมื่อซูหมางได้ยินเช่นนี้ก็รีบคุกเข่าลง
“เจ้าบอกว่าพวกเจ้าพกไปเพียงโล่ป้องกันตัวงั้นหรือ? ไม่ได้นำอาวุธไปด้วยหรือ?” เมื่อได้ยินดังนั้นฮ่องเต้จึงรีบถามว่า “ทำไมพวกเจ้าไม่นำอาวุธไปล่ะ?”
“ฝ่าบาท คนเหล่านี้เป็นประชาชนของฮ่องเต้และเป็นพี่น้องของเรา ทหารและพลเรือนเป็นหนึ่งเดียวกัน เราไม่สามารถลงมือเพียงเพราะพวกเขาสร้างปัญหาได้ ถ้าเราเอาแต่คิดว่าจะปราบปรามพวกเขาอย่างไร แทนที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเขา ผู้คนก็จะก่อความวุ่นวายและสิ่งต่าง ๆ จะแย่ลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราคิดว่าจะช่วยผู้คนแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการอย่างสมเหตุสมผล เรื่องนี้ก็จะได้รับการแก้ไข! และผู้คนจะสนับสนุนเราโดยธรรมชาติ!” ซูหมางรีบอธิบาย