ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 217 หลุดปากพูดบทกลอน
บทที่ 217 หลุดปากพูดบทกลอน
บทที่ 217 หลุดปากพูดบทกลอน
“เจ้าวางใจเถิด ของสิ่งนี้ร้านจิ่นฝูจะต้องรับอย่างแน่นอน!” สวีเฉิงเจ๋อเห็นกู้เสี่ยวหวานลูบเห็ดตี้มู่ในตะกร้า ก็คิดว่านางกลัวว่าจะขายไม่ออกจึงรีบพูดปลอบใจ ถึงจะขายไม่ได้ก็ไม่ต้องรีบด้วยเช่นกัน ขนาดเขาเองยังชอบกินเลย
แต่เมื่อคิดถึงเห็ดตี้มู่ สวีเฉิงเจ๋อก็ขมวดคิ้วมุ่น เห็นชัดว่าวิธีผัดก็ใช่เหมือนกัน ของที่ใส่ก็ล้างเหมือนกัน แล้วเหตุใดตอนที่กู้เสี่ยวหวานทำถึงอร่อยกว่าพ่อครัวที่บ้านเขากันล่ะ! คิดถึงต่อมาตอนที่กินเห็ดตี้มู่แล้วกลับรู้สึกว่ามันไม่อร่อยเท่าครั้งแรกเลย!
กินเพียงสองครั้งเท่านั้นก็น่าจะไม่ได้กินจนเลี่ยนได้ สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกสงสัยไม่อาจเข้าใจได้ คิดแล้วก็ได้แต่ต้องปล่อยวาง น่าจะเป็นเพราะตัวเองกินฝีมือของพ่อครัวมากเกินไปกระมั้ง
กู้เสี่ยวหวานยิ้มตอบกลับสวีเฉิงเจ๋อ แม้ว่านางจะไม่ได้กลัวว่าจะขายไม่ออก แต่ก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
นางกลัวว่ามันจะไม่พอต่างหาก! กู้เสี่ยวหวานหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
รสสัมผัสของสิ่งนี้จะเป็นอย่างไร ลูกค้าจะชอบหรือไม่นั้น กู้เสี่ยวหวานไม่คิดกังวลใจแม้แต่นิดเดียว
กู้หนิงผิงกับกู้เสี่ยวอี้นั่งอยู่บนรถม้า เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาข้างนอก ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ตอนที่นั่งบนรถม้าก็มักจะเปิด ๆ ปิด ๆ ผ้าม่านมองออกไปข้างนอกอยู่เนื่อง ๆ ดูตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ หนิงผิง เสี่ยวอี้ นั่งดี ๆ เถอะ” กู้หนิงอันรีบกดตัวกู้เสี่ยวอี้ที่ทำท่าจะยืนให้นั่งลงด้วยกลัวว่านางจะล้ม เขาประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าระวังหน่อย รถม้านี้เร็วเกินไป หากเสียหลักแม้เพียงนิดเจ้าอาจล้มได้”
กู้เสี่ยวอี้เบิกตากว้างมองกู้หนิงอัน นางรู้ว่าพี่ชายหวังดีกับตนเอง แต่ก็ยังรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย นี่เป็นการนั่งรถม้าครั้งแรก นางอยากจะมองทิวทัศน์ข้างนอก เด็กน้อยมุ่ยปากอย่างเสียใจ
“เสี่ยวอี้ เจ้าอยากมองข้างนอกใช่หรือไม่” สวีเฉิงเจ๋อเห็นท่าทางน่ารักของกู้เสี่ยวอี้ก็ชื่นชอบมาก
“อืม ๆ” กู้เสี่ยวอี้รีบพยักหน้า “เสี่ยวอี้อยากดูด้านนอก”
พอสวีเฉิงเจ๋อได้ฟังก็ยื่นแขนไปด้านหน้า กวักมือเด็กหญิงตัวน้อย “มาสิ มาหาข้าตรงนี้ ข้าจะอุ้มเจ้าเอง ทีนี้เจ้าก็ไม่ล้มและยังดูด้านนอกได้อีกด้วย”
พอกู้เสี่ยวอี้ได้ยินก็ตื่นเต้นไม่น้อย รีบปีนออกมาจากอ้อมกอดของกู้หนิงอัน แล้วปีนขึ้นบนตัวของสวีเฉิงเจ๋อ สวีเฉิงเจ๋อประคองนางไว้ เปิดหน้าต่างแล้วเลิกผ้าม่านเล็กน้อย แบบนี้จากมุมของกู้เสี่ยวอี้ก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้แล้ว
“ว้าว ท่านพี่ สวยจังเลย” กู้เสี่ยวอี้ตบไม้ตบมืออย่างมีความสุข
รอยยิ้มนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งคันรถ ผู้ใดพบเห็นย่อมยิ้มตาม
กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าสวีเฉิงเจ๋อจะเหนื่อยจึงรู้สึกเกรงใจ “เสี่ยวอี้ มาหาข้าเถอะ อย่าทำให้อาจารย์น้อยสวีเหนื่อยเลย”
อาจารย์สวีเซียนหลินไม่อยู่ ทำให้ไม่อาจใช้คำพูดแยกพวกเขาสองคนได้เช่นกัน
สวีเฉิงเจ๋อโบกมือปฏิเสธและพูดว่า “มีอะไรให้เหนื่อยกัน เด็กน้อยชอบก็ให้นางดูเถอะ”
พูดจบก็เปิดผ้าม่านทั้งหมดออกเกี่ยวตัวเกี่ยวเอาไว้ แล้วพูดต่อว่า “พวกเจ้าเองก็ดูด้วยเถอะ ทิวทัศน์ ธารน้ำ และภูเขาเช่นนี้สวยงามยิ่งนัก”
สิ่งที่สวีเฉิงเจ๋อพูดนั้นไม่ผิดเลย เส้นทางที่รถม้าขับผ่าน ด้านขวาปรากฏแม่น้ำสายใหญ่ ดวงอาทิตย์ส่องกระทบพื้นน้ำจนเป็นประกายวิบวับ ด้านข้างแม่น้ำยังมีภูเขาสีเขียวขจีสูงใหญ่
กู้เสี่ยวหวานมองแล้วก็รู้สึกเหมือนสติหลุดลอย แม่น้ำและภูเขางดงามขนาดนี้คงมีแค่ในบทกลอนที่นางเคยท่องเมื่อตอนเด็กเท่านั้น
ในใจมีความรู้สึกมากมายอยากจะระบายออกมา ทว่าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็คิดถึงบทกวีแสดงความยินดีต่อเจ้าบ่าวของซินฉีจี๋*[1]
“ข้าเห็นภูเขางามเขียวขจี แลภูเขางามเขียวขจีก็มองข้าเช่นกัน” กู้เสี่ยวหวานพูดโดยไม่ทันคิด นางเผลอหลุดปากออกไป
พอพูดออกไปทุกคนก็หันมามองหน้ากู้เสี่ยวหวานทันที กู้เสี่ยวหวานจึงได้สติกลับคืน คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเอ่ยปากพูดประโยคนั้นออกมาทำให้คนอื่นมองตัวเองแบบนี้ กู้เสี่ยวหวานเห็นคนอื่นจ้องมาถึงได้สติแล้วจึงเข้าใจว่าพูดอะไรออกไป
แต่ในสถานที่นี้ต่อให้กู้เสี่ยวหวานอยากร้องก็คงไร้น้ำตา…
คำพูดนี้ออกมาจากปากของเด็กสาวชนบทอายุเก้าขวบ ตามหลักแล้วกู้เสี่ยวหวานควรจะเป็นคนไม่รู้ภาษา รู้จักตัวอักษรไม่กี่คำ แต่สามารถรู้จักตัวอักษรพอถูไถ่ได้ก็เพราะกู้ฉวนฟู่สอน เนื่องจากบิดาที่เสียชีวิตไปแล้วพอจะรู้หนังสือบ้าง แต่คำพูดเมื่อครู่นี้เกรงว่าต่อให้กู้ฉวนฟู่เรียนอีกสองสามปีก็คงไม่สามารถพูดออกมาได้กระมัง ยิ่งไปกว่านั้นตัวเองยังเป็นแค่เด็กสาวชนบทไร้ความรู้ผู้หนึ่งเท่านั้น
แม้ว่าวิญญาณจะใกล้อายุสามสิบแล้ว แม้ว่านางจะเหนือฟ้ารู้หนังสือ ใต้พิภพรู้ภูมิศาสตร์ ในยุคสมัยปัจจุบันสามารถเป็นถึงดอกเตอร์แล้ว แต่ว่าถ้าอายุเยอะกว่านี้สักหน่อยก็ช่างเถอะ อย่างพวกทะลุมิติเข้าไปในวังหลวง ทะลุมิติเป็นลูกสาวขุนนาง ดีดพินท่องกลอน แน่นอนว่าว่าจะต้องมีคนชมนางเป็นแน่
เพียงแต่ว่าร่างนี้อายุแค่เก้าขวบ เป็นเด็กหญิงจากครอบครัวในชนบท บิดามารดารู้หนังสือเพียงไม่กี่คำ เอ่อ ไม่สิ กู้ฉวนฟู่รู้หนังสือไม่กี่ตัว แต่ก็ไม่ได้แตกฉาน เขาจะสามารถรู้เยอะขนาดนั้นได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานอยากจะถอนคำนั้นคืนมา เพราะทิวทัศน์งดงามเกินไปทำให้นางหลงลืมตัว จนลืมระมัดระวังตัวเองเช่นนี้
แต่แม้ว่ารถม้าคันนี้จะใหญ่ แต่ประโยคเมื่อครู่นี้เสียงก็น่าจะไม่เบาเช่นกัน คนที่นั่งอยู่บนรถม้าล้วนได้ยินคำพูดของนางหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำหน้าตาสงสัยและนับถือตัวเองนิด ๆ เช่นนี้หรอก
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขวยเขินที่เห็นคนอื่นจ้องมองตัวเอง นางไม่พูดอะไรเอาแต่ก้มหน้างุด ทำเหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
เพียงแต่น่าเสียดาย คำพวกนี้ไม่ใช่ไม่อยากพูด เพียงแต่เมื่อครู่นี้สั่นคลอนจิตใจไม่น้อย โดยเฉพาะสวีเฉิงเจ๋อ เขาอ่านหนังสือมาหลายปี ทั้งยังเรียนมาหลายปีเช่นกัน ก็เหมือนกับคำแนะนำของเสี่ยวเซิ่งจื่อ เขารักหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ แม้ไม่มีเรียนก็จะไปค้นหาหนังสือทุกหนทุกแห่งมาอ่าน
บันทึกการเดินทาง บทกลอน และประวัติศาสตร์ ขอเพียงสามารถค้นหาได้เขาก็อยากที่จะอ่านสักครั้งหนึ่ง
เดิมทีสวีเฉิงเจ๋อยังชอบออกเดินทางท่องเที่ยวดูโลกภายนอก คำพูดกะทันหันแบบเมื่อครู่นี้ราวกับฟ้าผ่าตอนกลางวัน เอาความคิดของสวีเฉิงเจ๋อไปเผาไหม้กลับมา
เขาพึมพำกับตัวเองปากท่องตามกลอนที่กู้เสี่ยวหวานพูดเมื่อครู่นี้เบา ๆ
จนกระทั่งท่องจนชินปากแล้ว อารมณ์ของสวีเฉิงเจ๋อก็ยิ่งลุกโหม ราวกับเด็กน้อยที่รักการเรียนคนหนึ่ง เขาถามกู้เสี่ยวหวานอย่างกระตือรือร้นด้วยใบหน้าตื่นเต้นยิ่งว่า “ประโยคนี้ช่างงดงามนัก! ข้าเห็นภูเขางามเขียวขจี แลภูเขางามเขียวขจีก็มองข้าเช่นกัน”
*[1] นักกวีในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้