ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2175 หดหัวอยู่ในกระดอง
บทที่ 2175 หดหัวอยู่ในกระดอง
คำที่กู้เสี่ยวหวานพูดออกมาเมื่อครู่ ทำให้หลินไห่เทียนตระหนักได้ทันทีว่าการที่ทั้งห้าคนนั้นได้รับเลือก น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ในห้าคนนี้ มีทั้งคนที่สอบผ่านเข้าไปได้ และก็มีที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่แนะนำมา
เมื่อหลินไห่เทียนเห็นว่าคนเหล่านี้ล้วนถูกเลือก แต่วิธีการคัดเลือกนั้นแตกต่างกัน แม้ว่าภายนอกจะไม่มีข้อบกพร่อง แต่หลินไห่เทียนก็รู้ว่ายิ่งดูธรรมดามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากการสืบสวนทั้งห้าคนอย่างรอบคอบ ก็พบว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับซื่อจื่อไม่มากก็น้อย
เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนั้น หลินไห่เทียนจึงตัดสินใจส่งคนเหล่านี้ไปหาซูเผยอันให้ตรวจสอบ ความจริงของเรื่องนี้ใกล้จะถูกเปิดเผยแล้ว และคนไม่กี่คนเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการไล่ล่าผู้ร้ายตัวจริงและซูเผยอันจะเป็นผู้ไต่สวนเรื่องนี้เอง
เมื่อหลินไห่เทียนพาพวกเขาไปที่กรมคลัง ซูเผยอันก็กำลังสอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับ แต่ผู้ต้องสงสัยเหล่านี้พูดจาวกวนไปมา และไม่ยอมเอ่ยถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง แต่หลุดปากออกมาว่าพวกเขาได้รับทองคำเป็นค่าตอบแทน แลกกับให้พวกเขาเปิดหน้ารับผิด
พวกชาวบ้านมารวมตัวกันได้อย่างไร พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ
แม้แต่คนที่ให้ทองคำพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน
เมื่อเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็ต้องชะงักลง
เมื่อหลินไห่เทียนมาถึงที่กรมคลัง ซูเผยอันก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าหลินไห่เทียนมาทำอะไรที่นี่ แต่เขาได้ยินว่าเขาพาคนจำนวนมากมาด้วย ซูเผยอันรู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ก็รีบออกไปพบเขาทันที
หลินไห่เทียนไม่ได้พูดอะไรมาก พูดตรง ๆ เมื่อคนเหล่านี้สารภาพ มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซูหลินไม่มากก็น้อย ทำให้ใบหน้าของซูเผยอันเปลี่ยนเป็นสีซีดทันที
เมื่อเห็นเขาจ้องมองที่คนเหล่านี้โดยไม่พูดอะไร หลินไห่เทียนก็ถอนหายใจและพูดว่า “ใต้เท้าซู ข้ารู้ว่าในไม่ช้าทั้งสองครอบครัวก็จะต้องเกี่ยวดองกัน แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของบ้านเมือง แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นคนทำอย่างชัดเจน ทว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังทำไปทั้งหมดเพราะต้องการทำร้ายใต้เท้ากู้ และสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักกับประชาชน!”
การมีหน้ามีตาในต้าชิงนั้นไม่ง่าย และการรักษาไว้ให้คงอยู่ยิ่งยากขึ้นไปอีก เรื่องนี้ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและราชสำนัก นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของบ้านเมือง
ซูเผยอันยังคงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลินไห่เทียนไม่ได้พูดอะไรเมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ และพูดเพียงว่า “ใต้เท้าซู เจ้าและข้าต่างก็เป็นผู้อาวุโสในราชสำนัก ตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นสู่บัลลังก์ พระองค์ก็ทรงงานหนักเพื่อต้าชิง ได้ทำสิ่งดี ๆ มากมาย เพื่อรักษาความสงบให้ต้าชิงเสมอมา ให้ประชาชนล้วนใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุข ข้ามาที่นี่ เพราะข้าอยากมาพูดกับเจ้าด้วยตัวข้าเอง ว่าข้าเชื่อในตัวเจ้า หวังว่าเจ้าจะทำทุกอย่างอย่างถูกต้องที่สุด!” หลินไห่เทียนตบไหล่ซูเผยอัน และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ซูเผยอันล้มลงบนเก้าอี้เท้าแขน ราวกับว่ามีใครมาบีบคอของเขา ทำให้เขาหายใจติดขัด
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงการสนทนาที่ยาวนานกับซูจือเยว่ในคืนนั้น
ซูจือเยว่กล่าวว่าไม่ว่าใครทำอะไรผิด ถ้ามันผิดกฎหมาย เขาก็จะมีความผิดเหมือนคนทั่วไป
ซูเผยอันถามเขาว่า ถ้าคนที่ก่ออาชญากรรมจะมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขาในอนาคตล่ะ ถ้าทำแบบนี้ คนรอบข้างจะรับมืออย่างไร?
ซูจือเยว่ใช้เวลานานในการพูดประโยคดังกล่าวว่า เขาต้องการแค่ความยุติธรรม ไม่สนตัวตนว่าเป็นใครมาจากไหน
ซูเผยอันรู้ว่าครอบครัวของเขาล้วนแต่เป็นคนดี และบุตรชายของเขาก็มีแววเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันชื่นชม ทว่าในตอนนี้เรื่องดี ๆ นั้นกำลังจะกลายเป็นเรื่องร้าย
ซูเผยอันไม่ได้ปิดบังอะไร และบอกซูจือเยว่ในสิ่งที่เขาสงสัย
สีหน้าของซูจือเยว่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ในตอนนั้นเขาพูดเพียงประโยคเดียว “ท่านพ่อ ถ้ามันยากนัก ข้าก็จะลาออก กลับบ้านเกิดของเรากันเถิด!”
ใช่ แย่ที่สุดก็แค่กลับบ้านเกิด!
ซูเผยอันไม่ใช่คนที่ชอบเลียแข้งเลียขาผู้อื่นเพื่ออำนาจ เขาโบกมือแล้วตะโกนบอกคนข้างนอก “ให้คนเข้ามา พาตัวพวกเขาทั้งหมดไปไต่สวน!”
เดิมทีบัณฑิตเหล่านั้นถูกจ้างมาเพื่อสร้างปัญหา แต่คิดไม่ถึงว่าแทนที่พวกเขาจะได้เข้าสำนักฮั่นหลิน พวกเขากลับถูกส่งตัวไปที่กรมคลัง พวกเขารับรู้ได้ว่าชีวิตของตนเองกำลังจะพังพินาศ
พวกเขาต้องไปต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง และต้องอธิบายสิ่งที่พวกเขาทำ เพื่อให้สาวไปถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลัง
หลังจากทำการไต่สวนข้ามคืน ซูเผยอันก็วางสมุดบันทึกลง และหยิบสมุดบันทึกอีกเล่มออกมา เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนบางอย่างลงไป และในคืนนั้น สมุดทั้งสองเล่มจากกรมคลังก็ถูกส่งไปที่พระราชวัง
เมื่อหมิงอ๋องได้รู้ว่าหลินไห่เทียนได้ส่งคนไปที่กรมคลัง และในไม่ช้าเขาก็รู้ว่ามีอะไรเขียนอยู่ในสมุดบันทึก!
เขาจึงรีบส่งคนไปขัดขวางทันที
หมิงอ๋องรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากหนังสือเล่มนี้ถูกส่งไปยังฮ่องเต้ ซึ่งฮ่องเต้ก็คงจะไม่ไว้ชีวิตซูหลินเพราะเห็นแก่เขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หมิงอ๋องก็โกรธมากจนตวาดเสียงลั่น “ไปเรียกตัวซื่อจื่อมา!”
เป็นครั้งแรกที่คนข้างนอกเห็นหมิงอ๋องโกรธมากขนาดนี้ พวกเขารีบตอบรับแล้วไปหาซูหลินทันที
ทว่าที่จวนกลับไม่มีใครอยู่อาศัยที่นั่น คนรับใช้กลุ่มหนึ่งกระวนกระวายเหมือนมดบนหม้อน้ำร้อน เหล่าคนรับใช้ต่างก็แยกกันออกตามหา และบางส่วนก็รอที่หน้าประตูใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
โชคดีที่ซูหลินกลับมาทันเวลา เขาเมามายกลับมาที่จวน เพิ่งได้เอ่ยปากกลิ่นของสุราก็ส่งกลิ่นคละคลุ้งออกมา
“ซื่อจื่อ ในที่สุดท่านกลับมาแล้ว หมิงอ๋องกำลังตามหาท่าน ข้าเป็นห่วงแทบตาย!” เมื่อคนรับใช้เห็นว่าในที่สุดซูหลินก็กลับมา ก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเขาที่เดินโซเซเข้ามา
วันนี้ซูหลินดื่มมากเกินไป จนทำให้เขาเมามายดูไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางกังวลของคนรับใช้ เขาก็พูดอย่างเหยียดหยาม “เจ้ากลัวอะไร ท่านพ่อจับได้ว่าข้าดื่มมาหรืออย่างไร?”
เมื่อนึกถึงท่าทางที่น่าเกรงขามของนายท่าน เหล่าคนรับใช้ก็สั่นสะท้านโดยไม่ได้ตั้งใจ “ซื่อจื่อ ท่านควรไปพบบท่านอ๋องเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
เพราะหากว่าท่านไม่ไป ข้าเกรงว่าบ้านจะลุกเป็นไฟเพราะไฟโทสะของหมิงอ๋อง
ซูหลินสะอึก จากนั้นเขาก็เดินลึกเข้าไปในลานของหมิงอ๋องโดยมีคนคอยช่วยประคอง
ในขณะนี้ เหล่าคนรับใช้และผู้เฝ้ายามในลานบ้านต่างก็ยืนอยู่ห่าง ๆ และก้มหัวลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวของพวกเขา ซูหลินก็ยิ้มและชี้ไปที่พวกเขาที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ก่อนจะเอ่ยประชดประชัน “นี่ พวกเจ้ามันขี้ขลาด คนขี้ขลาด! เป็นเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง!”
ฝูงเต่าทั้งหลายตกใจกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง และพึมพำในใจว่าเหตุการณ์นี้น่ากลัวยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก เดิมทีที่จวนของหมิงอ๋อง มีเพียงคนเดียวที่น่ากลัวจนน่าขนลุกก็คือหมิงตูจวิ้นจู่ เหตุใดวันนี้หมิงอ๋องถึงได้มีท่าทีเหมือนจะกินคนเช่นนั้น