ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2178 เขายังไม่ลืม
แต่ซูเฉี่ยนเยว่ไม่พอใจ นางดึงมือฮูหยินซูและเล่าเรื่องเกี่ยวกับซูหมิ่นมากมายเพื่อให้ฮูหยินซูมีความสุข และทำให้รู้สึกว่าซูหมิ่นเป็นคนเข้าถึงง่าย
ซูเฉี่ยนเยว่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หากแต่ไม่ใช่กับฮูหยินซู นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหมิงตูจวิ้นจู่คนนี้มีนิสัยอย่างไร แม้ว่าซูเฉี่ยนเยว่จะพรรณาว่าซูหมิ่นงดงามราวกับดอกไม้ แต่ฮูหยินซูหาได้คิดเช่นนั้นไม่
การแต่งงานนี้ทำให้ซูจือเยว่ไม่มีความสุข เรื่องนี้ทำให้ฮูหยินซูไม่พอใจซูหมิ่น
อารมณ์ของเจ้านายทั้งสามไม่ค่อยดีนัก ทั่วทั้งจวนตระกูลจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศ ถ้าไม่ใช่เพราะการตกแต่งด้วยโคมแดงสว่างสดใส และผ้าไหมสีแดงสวยสดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของงานมงคล ไม่เช่นนั้นคนภายนอกคงคิดว่ามีงานศพในจวน
ยังเหลือเวลาอีกสามวัน ซูเฉี่ยนเยว่พูดคุยเรื่องตื่นเต้นกับหมิงตูจวิ้นจู่ไม่หยุด ในฐานะเพื่อนสนิทของหมิงตูจวิ้นจู่ จึงยินดีกลับเรื่องนี้มาก
ฮูหยินซูไม่ได้ห้ามปรามทั้งสอง และมองซูเฉี่ยนเยว่ที่เดินจากไปอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นแผ่นหลังของซูเฉี่ยนเยว่หายไปจากสายตา ฮูหยินซูก็ถอนหายใจยาว ใบหน้าของนางซึ่งแสร้งทำเป็นตื่นเต้นแปรเปลี่ยนมาเรียบเฉยเช่นเคย ดวงตาคู่งามคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าเช่นเดิม “นายน้อยอยู่บ้านหรือเปล่า?”
“ตั้งแต่เช้าข้าน้อยยังไม่เห็นนายน้อยออกไปไหนเลยเจ้าค่ะ!” สาวใช้ตอบ
“อืม พวกเราไปหานายน้อยกันเถอะ!” ฮูหยินซูเดินไปที่ลายของซูจือเยว่ภายใต้การประคองของสาวใช้
เวลานี้หลายชิ่งกำลังยืนอยู่นอกประตู มองไปยังประตูที่ถูกปิดสนิทและเคาะเบา ๆ “นายน้อย เปิดประตูเถอะขอรับ ท่านยังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เช้า กินข้าวสักหน่อยเถอะขอรับ ท่านอย่าทำร้ายร่างกายตนเองเช่นนี้เลย!”
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน ด้านในนั้นเงียบสนิท ถ้าหลายชิ่งไม่ได้ยินเสียงของซูจือเยว่เมื่อเช้า คงคิดว่าซูจือเยว่หนีออกจากจวนไปแล้ว
เมื่อฮูหยินซูมาถึงก็เห็นเข้ากับเหตุการณ์นั้นพอดี
ภาพหลายชิ่งกำลังเคาะประตู โดยมีสาวใช้ยืนอยู่ด้านข้าง สองมือประคองถาดไม้สี่เหลี่ยม บนถาดมีโจ๊กหนึ่งถ้วย และเครื่องเคียงอีกสองสามอย่าง
เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ ฮูหยินซูพลันรู้สึกไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น? พวกเจ้าดูแลนายน้อยกันเยี่ยงไร สายปานนี้แล้วเหตุใดเขายังไม่ได้กินข้าวอีก”
หลายชิ่งหันกลับมาพบว่าเป็นฮูหยิน รีบทำความเคารพ “ฮูหยิน นายน้อยไม่ยอมเปิดประตู เราจึงไม่สามารถส่งอาหารเข้าไปได้! พวกเรามาหลายรอบแล้วขอรับ!”
ฮูหยินซูเชื่อคำพูดของหลายชิ่ง เมื่อเห็นว่าโจ๊กและเครื่องเคียงยังคงร้อนอยู่ นางรู้ดีว่าหลายชิ่งไม่ได้โกหก
ซูจือเยว่ไม่ยอมเปิดประตู เหล่าคนรับใช้จะนำอาหารเข้าไปได้อย่างไร! เมื่อฮูหยินซูนึกถึงซูจือเยว่ที่ไม่แม้แต่จะแตะต้องอาหารเช้า หัวใจของนางก็เจ็บปวด “เยว่เอ๋อร์เปิดประตูเถอะ แม่เองลูก เจ้าเปิดประตูให้แม่ได้หรือไม่ แม้ว่าเจ้าจะไม่มีความสุข แต่ก็ควรกินอะไรสักหน่อย อย่าทำให้ตนเองป่วยเลย!” ฮูหยินซูเคาะประตูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ดังขึ้นข้างนอก ซูจือเยว่นั่งมองสภาพยุ่งเหยิ่งบนโต๊ะ มองภาพวาดที่ยังวาดไม่เสร็จอย่างเหม่อลอย
ในที่สุดซูจือเยว่ก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นมารดาทนทุกข์ด้วยเพราะเรื่องของตนเอง ดังนั้นจึงออกไปเปิดประตู
ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาข้างนอกสาดส่องเข้ามา ซูจือเยว่ที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านโดยไม่เห็นดวงอาทิตย์มานานทำให้ดวงตาไม่สามารถสู้แสงได้ จึงต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย
บริเวณหางตาเกิดรอยย่น ครั้นเห็นใบหน้าโทรมของลูกชาย หัวใจฮูหยินซูปวดร้าวยิ่งกว่าเก่า
“เยว่เอ๋อร์ กินอะไรหน่อยเถอะ!” หลังจากที่สาวใช้ยกอาหารเข้ามา ฮูหยินซูก็สั่งให้ทุกคนออกไปจนเหลือพวกเขาสองคน
ซูจือเยว่กลับไปที่โต๊ะอีกครั้งราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของฮูหยินซู และจ้องมองที่ภาพวาดตรงหน้าสายตาว่างเปล่า
ในขณะนี้ซูจือเยว่กำลังมองที่ภาพวาดตรงหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า ฮูหยินซูจึงก้าวไปข้างหน้าและมองตามสายตาลูกชาย ก่อนจะเห็นภาพวาดแผ่นหลังของหญิงสาวคนหนึ่ง
นางสวมชุดสีขาวนวล หันหลังให้กับทุกคน นางกำลังขีดเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ แขนเสื้อปลิวไสวไปตามลม เสื้อคลุมพลิ้วไหวและผีเสื้อปักหลากสีสันบนแขนเสื้อดูเหมือนมีชีวิต แสงแดดสาดส่องลงมาบนร่างกายทอแสงเปล่งประกาย
หญิงคนนั้นหันหลังให้กับทุกคนและไม่มีใครเห็นใบหน้าของนาง แต่เมื่อฮูหยินซูเห็นภาพนี้ ก็นึกถึงงานเลี้ยงบทกวีที่จัดขึ้นในจวน วันนั้นนางยืนอยู่บนชั้นสองและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเปล่งแสงสีทองไปทั่วร่าง
กู้เสี่ยวหวาน!
ยังมีเวลาอีกสามวันในการแต่งงาน แต่เขาก็ยังลืมนางไม่ได้!
ตอนนี้ซูจือเยว่ไม่ได้ปิดบังอะไรอีกต่อไป ภาพวาดดังกล่าวถูกกางออกบนโต๊ะ แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าบุคคลนี้คือใคร!
เมื่อคิดถึงการแต่งงานที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ แต่ซูจือเยว่กลับยังหมกมุ่นอยู่กับภาพวาดของกู้เสี่ยวหวานที่ตนเองวาดขึ้น และเมื่อนึกถึงนิสัยของซูหมิ่น นางก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหลัง “เยว่เอ๋อร์ ภาพนี้…แม่จะเก็บให้เจ้าเอง!”
ซูจือเยว่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เอาแต่มองภาพนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อฮูหยินซูเห็นท่าทางโง่เขลาของลูกชาย นางย่อมรู้ดีว่าลูกชายตนเองคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้เขากำลังจะแต่งงาน เหล่าญาติ ๆ และสหาย ๆ จะมาร่วมแสดงความยินดีกับเขาที่นี่ ถ้าพวกเขาเห็นภาพวาดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฮูหยินไม่สนใจความเห็นของซูจือเยว่ เอื้อมมือไปหยิบภาพวาดนั้นขึ้นมาด้วยอารมณ์คุกรุ่น
การกระทำของมารดาทำให้ซูจือเยว่ที่มองว่าภาพวาดเหมือนสมบัติล้ำค่าสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีรู้สึกราวกับว่าสมบัติของตัวเองถูกพรากไป ดังนั้นเขาจึงรีบเอื้อมมือไปเพื่อคว้ามัน “ท่านแม่…”