ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2179 ทำลายภาพวาด
ฮูหยินซูปฏิเสธจะคืนภาพนั้นให้ และม้วนมันเก็บอย่างรวดเร็วหลีกเลี่ยงการแย่งชิงของลูกชาย แสร้งคลี่ยิ้มและเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ภาพวาดรูปนี้งดงามยิ่งนัก แม้จะเป็นคนเก็บไว้เอง หากอยากดูเมื่อไรก็ไปที่ลานของแม่ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ห้องนี้จะมีได้เพียงภาพของหมิงตูจวิ้นจู่เท่านั้น ถ้ามีนอกเหนือจากภาพของจวิ้นจู่ นางต้องไม่พอใจมากแน่!”
ใบหน้าของฮูหยินซูประดับด้วยรอยยิ้ม มองท่าทางขัดขืนของซูจือเยว่ และยกมือขึ้นปัดมือลูกชาย ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “เอาล่ะ ถึงเวลาอาหารแล้ว!”
ดวงตาของซูจือเยว่ขึ้นสีแดงก่ำ มองภาพที่ตนเองหวงแหนถูกปฏิบัติอย่างหยาบคายโดนมารดา หัวใจรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีใครมาควักหัวใจ
“ท่านแม่ คืนมาให้ข้าเถอะขอรับ” น้ำเสียงของซูจือเยว่แหบแห้ง ราวกับพยายามระงับความโกรธ
“เยว่เอ๋อร์ ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ!” ฮูหยินซูตกใจ
“คืนมาให้ข้า!” ซูจือเยว่เพิกเฉยต่อความโกรธของมารดา เขารุดขึ้นหน้าและกำลังจะแย่งภาพจากมือมารดา ฮูหยินซูตกตะลึง เมื่อนางได้สติก็ซ่อนภาพไว้ข้างหลังนาง “ข้าไม่คืน!”
ซูจือเยว่สัมผัสไม่ถึงความโกรธเกรี้ยวในน้ำเสียงของมารดา เขาเห็นเพียงว่าสิ่งหวงแหนราวกับสมบัติล้ำค่าได้รับการปฏิบัติอย่างหยาบคาย และมันเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกขยี้
เขารับไม่ได้กับการกระทำนั้นอย่างยิ่ง จึงรุดขึ้นหน้าอีกคร้งและคว้าภาพจากมือของฮูหยินซูด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด แต่ฮูหยินซูจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้มันไปได้อย่างไร เดิมทีนางต้องการจะเก็บไว้เอง นางเกรงว่าหากจวิ้นจู่เห็นภาพนนี้จะต้องโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเป็นแน่
ดวงตาของซูจือเยว่เบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดลงทันที แต่ว่าฮูหยินซูยังไม่รู้สึกโล่งใจ และฉีกภาพนั้นทิ้งทันที ภาพนั้นถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ซูจือเยว่ตกตะลึง!
เมื่อเห็นภาพวาดของตนเองถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่างของซูจือเยว่ก็ทรุดตัวลง หยิบเศษกระดาษมากอดอย่างไร้สติ
ภาพวาดขาดเป็นชิ้นไปแล้วยังสามารถทำให้เขาสูญเสียการควบคุมได้ถึงเพียงนี้ พาลให้ฮูหยินซูนึกถึงลูกชายหยิ่งยโสของตนเอง และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลูกชายของตัวเองลุ่มหลงหญิงสาวคนนี้มากเกินไป
นางดึงซูจือเยว่ขึ้น “ลุกขึ้น ลุกขึ้น ไม่เห็นหรืออย่างไรว่ามันขาดไปหมดแล้ว เจ้าจะเก็บมันไว้เพื่ออะไรอีก?”
ซูจือเยว่ไม่ได้พูดอะไรกับมารดา ดวงตาของเขาแดงก่ำจ้องมองเศษกระดาษตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ เปล่งเสียงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าที่รับบาดเจ็บ ไม่ว่าฮูหยินซูจะพยายามกระชากเขายังไงก็ไม่ยอมขยับ และเก็บเศษกระดาษขึ้นช้า ๆ ทีละชิ้น
แม้ว่าฮูหยินซูจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกระชากซูจือเยว่ให้ลุกขึ้น แต่เรี่ยวแรงของนางจะไปสู้แรงของผู้ชายอย่างซูจือเยว่ได้อย่างไร
ซูจือเยว่ดูเหมือนถูกอาคมสะกด เขามองไปยังภาพที่ขาดเป็นชิ้นตรงหน้าและพึมพำออกมาไม่หยุด
“ซูจือเยว่!” ฮูหยินซูรู้สึกปวดใจ เหตุใดลูกชายที่เชื่อฟังของตนถึงมีสภาพเช่นนี้ จึงตะโกนด้วยความโกรธ
คนรับใช้ที่รออยู่นอกห้องรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของฮูหยินมากกว่าจะเป็นเสียงอันอ่อนโยนที่เคยมีมาเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปตามเสียง และเริ่มมีคนเริ่มซุบซิบกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
หลายชิ่งกลัวว่าเหล่าคนรับใช้จะเห็นภาพที่ไม่สมควร ดังนั้นเขาจึงรีบไล่คนรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทันที
นอกจากเสียงตะโกนของฮูหยินซูแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นอีก เมื่อนางเห็นว่าลูกชายเอาแต่สนใจเศษภาพวาดตรงหน้าและเพิกเฉยต่อตนเองในฐานะแม่ ก็คว้าคอเสื้อของซูจือเยว่บังคับให้เขาเผชิญหน้ากับตนเองและสาปแช่ง “ซูจือเยว่ เจ้ามองข้า ข้ายังเป็นแม่เจ้าอยู่หรือไม่! หรือเจ้าเห็นแค่ภาพวาดนั้นอยู่ในสายตา!”
ดวงตาของซูจือเยว่หม่นหมอง จ้องมองมารดาด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับไร้วิญญาณ
ฮูหยินซูทรุดตัวลง ปล่อยมือที่จับคอเสื้อของซูจือเยว่ ซูจือเยว่จึงทรุดตัวลงนั่งบนพื้น ดวงตาของเขาว่างเปล่าและเมื่อเห็นภาพวาดที่ถูกฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดี ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนในใจ
ฮูหยินซูสะอื้นไห้อยู่บนพื้น “จือเยว่ แม่ขอร้องเจ้าล่ะ อีกสามวันแล้วเจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว เจ้าอยากจะให้พวกเราทั้งครอบครัวถูกฝังไปพร้อมกับเจ้างั้นเหรอ? ซูหมิ่นเป็นคนอย่างไร ถ้านางรู้ว่าเจ้าไม่เคยชอบพอนางเลย แล้วหากนางทำอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
ตระกูลซูเป็นเหมือนเรือที่อับปางท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ พร้อมจะสูญหายทุกเมื่อ
ในตอนนั้นเองที่ฮูหยินซูตระหนักว่าหมิงตูจวิ้นจู่คือคลื่นยักษ์ที่สามารถโค่นเรือของตระกูลซูได้ทุกเมื่อ และอาจผลักดันตระกูลซูไปสู่จุดสูงสุดได้
แต่แล้วอย่างไร? แม้ว่าจะไปถึงจุดสูงสุด แต่ฮูหยินซูไม่ต้องการความมั่งคั่งมหาศาลเหล่านั้น นางแค่ต้องการให้ครอบครัวของนางมีชีวิตที่สงบสุข
ซูจือเยว่ไม่ได้เอ่ยอะไร การเคลื่อนไหวมือของเขาหยุดชั่วคราว นัยน์ตาแดงก่ำ
ฮูหยินซูคร่ำครวญและร้องไห้เป็นเวลานานก่อนที่ซูจือเยว่จะอ้าปาก “ท่านแม่…”
“เด็กดี แม่รู้ว่าเจ้ากำลังทรมาน แต่จะทำอย่างไรได้? แม้ว่าเจ้าจะไม่แต่งงานกับหมิงตูจวิ้นจู่ แต่องค์หญิงอันผิงก็คงไม่แต่งงานกับเจ้าอยู่ดี ทำไมเจ้าถึงต้องทำให้ตัวเองอับอายด้วย? เด็กดีของข้า แม้ว่าหมิงตูจวิ้นจู่จะเย่อหยิ่ง แต่นางก็รักเจ้าและมีเพียงเจ้าในสายตาของนางเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร ภรรยาที่ใจมีแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าจะรับนางได้ในไม่ช้า!” เมื่อฮูหยินซูเห็นว่าซูจือเยว่รู้สึกกำลังทรมานจึงรีบเกลี้ยกล่อม
ซูจือเยว่ไม่ตอบสนองและนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น