ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 218 รักแรก
บทที่ 218 รักแรก
บทที่ 218 รักแรก
ประโยคนี้คิดว่าเขาน่าจะเข้าใจดีแล้ว กู้เสี่ยวหวานเองก็พลอยยินดีไปด้วยไม่น้อย บทกลอนเข้าใจยากเยี่ยงนี้นางเองก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้อย่างไร ท่านซินฉีจี๋เจ้าขา วันนี้ข้าขอขโมยผลงานของท่านนะเจ้าคะ ขอเป็นโจร ‘ขโมยลิขสิทธิ์’ สักครั้งก็แล้วกัน
“ท่านพี่ ท่านเก่งจังเลย!” กู้หนิงอันเองก็ท่องบทกลอนเมื่อครู่เช่นเดียวกัน เขามองสวีเฉิงเจ๋อที่มองพี่สาวตัวเองอย่างนับถือ กู้หนิงอันก็ยิ่งภาคภูมิใจยิ่ง
ไหนจะกู้หนิงผิง เขาย่อมเข้าใจความหมายของอจารย์น้อยสวี สายตาที่มองพี่สาวตัวเองก็ยิ่งเพิ่มความภูมิใจอีกขั้นหนึ่ง
ทิวเขางามเขียวขจี ข้าเองก็งามก็เช่นกัน
“แม่นางกู้ บทกลอนเมื่อครู่ช่างไพเราะนัก” สวีเฉิงเจ๋อไม่ตระหนี่ชมกลอนไพเราะเช่นนี้ แล้วก็อดที่จะถอนหายใจชมเชยไม่ได้ว่า “ทิวเขางามเขียวขจี ข้าเองก็งามเช่นกัน อารมณ์เหมือนกัน ความคิดเห็นก็ย่อมเหมือนกัน”
กู้เสี่ยวหวานชื่นชมผู้รักการเรียนผู้นี้ด้วยเช่นกัน ครั้นได้เข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร ดูเหมือนจะไม่เสียแรงที่เป็นขุนนางผู้หนึ่ง
กู้เสี่ยวหวานเห็นพวกเขาชมตัวเองก็รู้สึกอับอาย เพราะว่านี่ไม่ใช่ผลงานของตัวเอง แต่เป็นการลอกผลงานคนอื่น แต่ต้องกล่าวว่าผู้เขียนต้นฉบับนั่นยิ่งเปิดเผยกว่า เมื่อก่อนครอบครัวยากจนขนาดนั้น แม้แต่ข้าวยังไม่มีกิน จะมีเงินที่ไหนซื้อหนังสือได้อีก ไม่รู้อักษรสักคำจะซื้อหนังสือไปทำไม!
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างถ่อมตน “ข้าแค่พูดไปเรื่อยสองประโยคเท่านั้น ทำให้คุณชายสวีขำแล้ว ข้าแค่รู้สึกอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้นเท่านั้น”
สวีเฉิงเจ๋อยิ่งเห็นกู้เสี่ยวหวานถ่อมตัวขนาดนี้ ในใจก็ยิ่งรู้สึกเคารพไปอีกขั้น ดูเหมือนที่บิดาตนพูดไว้จะไม่ผิดเลย ครอบครัวนี้นอกจากกู้หนิงอันแล้ว พี่หญิงใหญ่ของพวกเขาก็มิใช่คนธรรมดา!
สวีเฉิงเจ๋อยิ้ม “ท่านพ่อมักจะพูดว่าความคิดของเจ้าเหนือกว่าผู้อื่น ข้าอยากจะเรียนรู้กับเจ้ามาตลอด กลับคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันอ้าปากก็ถูกเจ้าทำให้พ่ายแพ้เสียแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานรีบพูดว่า “อาจารย์น้อยสวีเกรงใจไปแล้ว ข้าเป็นแค่ผู้ความรู้น้อยที่อวดความรู้ต่อหน้านักปราชญ์เท่านั้น ทำให้ท่านขบขำแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานตกใจจนเหงื่อแตก แม้ในท้องจะมีหมึกดำ*[1]อยู่ภายในเยอะแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรนำออกมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าใช้ไปแล้วคนอื่นจะมองว่านางเป็นตัวประหลาด ถึงตอนนั้นใครจะหาเหาใส่หัวหรือเอาไฟเผาตัวเองกันเล่า แค่คิดนางก็กลัวจะตายแล้ว
สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกประหลาดใจในตัวกู้เสี่ยวหวานมาโดยตลอด วันนี้ได้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งมีความรู้สึกดีต่อนาง ยิ่งได้ยินนางเรียกเขาว่าคุณชายสวีก็รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
“แม่นางกู้ ต่อไปเจ้าอย่าเรียกข้าว่าอาจารย์สวีเลย เจ้าเรียกข้าว่าพี่เฉิงเจ๋อเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานคิดแล้วก็พยักหน้า “เช่นนั้นพี่เฉิงเจ๋อเองก็อย่าเรียกข้าว่าแม่นางกู้เลย ข้าว่าเสี่ยวหวานเถอะ”
เมื่อตกลงกันได้ ทั้งสองก็ยิ้มให้แก่กัน
สวีเฉิงเจ๋อคิดจะปรึกษากับกู้เสี่ยวหวานสักหน่อย แต่ทุกครั้งกู้เสี่ยวหวานมักจะเปลี่ยนเรื่อง เมื่อครู่นางไม่ทันระวังตัว ต่อไปอะไรที่ไม่ควรเปิดเผยก็พยายามอย่าเปิดเผยออกไปเลย นี่ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมด นี่มันไม่เหมาะสมกับสถานะของตัวเองตอนนี้ หากโตกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะเปิดเผยได้บ้าง การทำตัวโดดเด่นตอนนี้ไม่นับว่าเป็นการหาที่ตายหรือ? เกิดคนคิดไม่ดีรู้เข้า ตัวเองกับปีศาจก็คงจะห่างกันไม่ไกลเป็นแน่
สวีเฉิงเจ๋อเดิมทีคิดจะพูดอีกสองสามประโยค แต่เห็นกู้เสี่ยวหวานเอาแต่บ่ายเบี่ยงเรื่องอื่นแบบนี้ เขาก็เข้าใจความหมายของนาง จนหยุดไว้เพียงเท่านี้ไม่พูดเรื่องนี้ให้มากความอีก
ไม่รู้ว่าเส้นทางทำมาดีหรือว่าฝีมือการทำรถม้าดี รถม้าคันนี้จึงไม่สั่นคลอนเลยสักนิด และไม่มีกระทั่งอาการมึนหัว กู้เสี่ยวหวานดีใจยิ่งนัก ดีจริง ๆ ในตอนนี้ยังไม่มีรถแบบในยุคปัจจุบัน นั่งรถม้าแล้วไม่มึนหัวก็ถือว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่งเหมือนกันสินะ
หลังจากนี้คงมีโอกาสนั่งรถม้าอีกเยอะ ถ้าเกิดมึนหัวเช่นนั้นก็อย่าพูดถึงเรื่องออกจากบ้านเลย
ใช้เวลาสองชั่วยาม เมืองรุ่ยเสียนก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
สวีเฉิงเจ๋อแนะนำให้ทุกคนลงรถม้าพักกันก่อน หยิบธัญพืชอบแห้งมากินแล้วค่อยออกเดินทางต่อ
แน่นอนว่ากู้เสี่ยวหวานเห็นด้วย นั่งรถม้าตลอดทั้งบ่ายตัวเองก็ต้องจัดการธุระส่วนตัวเสียหน่อย
กู้เสี่ยวหวานถามกู้เสี่ยอี้เบา ๆ ทั้งสองต่างก็คิดจะไปปลดทุกข์ แต่นี่เป็นในป่าในเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไรนัก ทำได้เพียงให้กู้หนิงผิงไปเป็นเพื่อนด้วย กู้หนิงอันเข้าใจก็คิดจะตามไปด้วยเช่นกัน กู้เสี่ยวหวานภายในอายุสามสิบปีแล้ว ให้เด็กผู้ชายสองคนพาตัวเองไปปลดทุกข์เบาก็รู้สึกแปลก ๆ แต่เพื่อความปลอดภัย หากพวกเขาอยากไปก็ไปด้วยกันเถอะ
สวีเฉิงเจ๋อเห็นกู้หนิงอันจะไปด้วยก็ถามว่าจะไปทำไม กู้หนิงอันตอบเสียงเบา ๆ ว่าเพราะอะไร เดิมทีหน้าขาว ๆ ของสวีเฉิงเจ๋อพลันแดงขึ้นลามไปถึงใบหู พลางเตือนว่าให้เดินไปไกลหน่อย และรีบหันกลับมาทำอย่างอื่นแล้ว ใบหูรู้สึกร้อนผ่าว
พอดีกับที่เสี่ยวลู่เดินกลับมาจากให้น้ำม้า ก็เห็นคุณชายของตัวเองหน้าแดงเหมือนก้นลิง เขาคิดว่าคุณชายตัวเองร้อน จึงรีบถามว่า “คุณชาย ท่านร้อนหรือ เหตุใดหน้าแดงขนาดนี้?”
สวีเฉิงเจ๋อถลึงตาจ้องเขา เสี่ยวลู่เห็นคุณชายจ้องตัวเองอย่างดุร้ายเช่นนั้นก็นึกว่าตัวเองทำเรื่องผิดไปแล้ว เขาลูบจมูกอย่างทำตัวไม่ถูก เฮ้อ เห็นอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงว่าเขาได้เล่า เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายกัน
สวีเฉิงเจ๋อสงบใจอย่างไม่ง่ายดายนัก แล้วนำอาหารแห้งที่ตนเตรียมออกมา เสี่ยวลู่ปูผ้าสะอาดเอาไว้ในทุกคนได้นั่งกินกันบนนั้น
รอจนกระทั่งพวกกู้เสี่ยวหวานปลดทุกข์กลับมา ก็ล้างหน้าล้างมือที่ริมแม่น้ำก่อนจะเห็นสวีเฉิงไพล่มือไว้ข้างหลังยืดกายตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ ชุดผ้าแพรสีขาวพลิ้วไหวดูเป็นคุณชายเจ้าสำอางผู้หนึ่งจริง ๆ
เมื่อเห็นพวกกู้เสี่ยวหวานกลับมาแล้ว เดิมความรู้สึกของสวีเฉิงเจ๋อก็กลับมาปกติดีแล้ว พอเห็นหน้ากู้เสี่ยวหวานใบหน้าก็กลับมาแดงก่ำอีกครั้ง
เสี่ยวลู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าขาวของคุณชายขึ้นสีแดงครั้งก็อดถามออกไปไม่ได้ “คุณชาย ท่านไม่สบายใช่หรือไม่ เหตุใดหน้าถึงแดงอีกแล้ว”
ใบหูของสวีเฉิงเจ๋อกลับมาแดงอีกแล้ว เขามองเสี่ยวลู่ที่ถามตนแบบนี้ก็ทั้งฉุนทั้งขำ และถลึงตามองเสี่ยวลู่ “ไปเรียกพวกเขามากินก่อน ข้าจะไปเดินเล่นสักพักแล้วจะกลับมา”
“คุณชาย แล้วท่านจะไปทำอะไรน่ะขอรับ”
“ข้าจะไปปลดเบา!” สวีเฉิงเจ๋อโกรธเสี่ยวลู่จนแทบจะเป็นบ้าแล้ว ช่างเป็นคนไม่รู้ว่ากาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้นจริง ๆ หน้าแดงแล้วอย่างไร ถามอยู่นั่นแหละ มันน่าโมโหเสียจริง
แต่ก็ไม่ควรว่าเขาเช่นกัน สวีเฉิงเจ๋อคิดว่าเมื่อครู่ที่เขาถลึงตาใส่อีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกผิด เฮ้อ เขาลูบใบหูที่ร้อนผ่าวแล้วก็จนปัญญา
*[1] เป็นสำนวนหมายถึง เป็นคนที่มีความรู้