ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2182 สิ่งต่าง ๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วต้องพลิกกลับ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย
- บทที่ 2182 สิ่งต่าง ๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วต้องพลิกกลับ
ซูเฉี่ยนเยว่วิ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง ชุ่ยจู๋ที่อยู่ข้างหลังจึงได้แต่ตามไปด้วยความงุนงง
ฮูหยินซูอยากจะตามลูกสาวไป แต่ซูเผยอันห้ามนางไว้
ซูจือเยว่มองแผ่นหลังของน้องที่วิ่งออกไป ก็ได้แต่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หากแต่หัวใจนั้นเต็มไปด้วยความกังวล เขาเก็บเศษภาพเหมือนในมือลงในลิ้นชักอย่างระมัดระวัง
ฮูหยินซูและซูเผยอันเฝ้าดูการกระทำของลูกชาย แต่ไม่ได้ส่งเสียงห้ามเขาแต่อย่างใด ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะไปตามเฉี่ยนเยว่!”
หลังจากที่ซูจือเยว่เก็บข้าวของของเขาแล้วก็พูดว่า
“ไปเถอะ!” น้ำเสียงของซูเผยอันอ่อนแรง และเขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
ซูจือเยว่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีหลายชิ่งตามไปติด ๆ โดยไม่ปริถามอะไรทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว ฮูหยินซูก็มองไปที่ซูเผยอันซึ่งดูเหมือนจะแก่ลงในชั่วข้ามคืน หัวใจดวงนี้รู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“รอให้นางใจเย็นลงก่อน ข้าตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อจือเยว่ แต่ข้าทำไปทั้งหมดเพื่อตระกูลของเรา”
“นายท่าน เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ท่านก็ยังคิดจะปกปิดมันจากข้าอยู่อีกหรือ ท่านบอกความจริงมาเถอะ! ท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น การลาออกของท่านต้องมีเหตุผลแน่นอน!” ฮูหยินซูร้องไห้พลางจับมือซูเผยอัน
ซูเผยอันหลับตานิ่ง จนฮูหยินซูคิดว่าเขาคงจะไม่พูดออกมาก แต่แล้วน้ำเสียงแหบของเขาก็ดังขึ้น “เราแตะต้องจวนหมิงอ๋องไม่ได้!”
ทำไมแตะไม่ได้ ซูเผยอันไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ แม้ว่าฮูหยินซูจะไม่เข้าใจเรื่องราวในราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าซูหลินนั้นหยิ่งยโสและเจ้าเล่ห์ ครั้งนี้เขากล้าเล่ห์เหลี่ยมต่อหน้าต่อตาฮ่องเต้…
“สิ่งต่าง ๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วต้องพลิกกลับ ฮูหยินเจ้าต้องเข้าใจคำพูดของข้า ข้าไม่ได้ทำแค่เพื่อจือเยว่ แต่ข้าทำเพื่อครอบครัวเรา! ข้าไม่รู้ว่าหมิงตูจวิ้นจู่จะยอมถอนตัวจากการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่ แต่ไม่ว่ากรณีใดเราต้องปล่อยให้ทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกันไม่ได้ ตระกูลซูของเราเป็นลำธารที่ใสสะอาด กว่าจะประสบความสำเร็จทุกวันนี้มันไม่ง่ายเลย แม้ว่าข้าต้องทิ้งสิ่งที่สร้างมากับมือ แต่ข้าก็ต้องรักษาตระกูลไว้ ฮูหยินเข้าใจหรือไม่?” ซูเผยอันตัดสินใจหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ไม่ว่าฮูหยินซูจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่ทั้งหมดก็เป็นความพยายามของซูเผยอัน
นางเช็ดน้ำตาก่อนจะพยักหน้า ความงุนงงและความลังเลหายไป และพูดอย่างหนักแน่น “นายท่าน ในเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปกับท่านอย่างไม่ลังเล ท่านพูดถูก ตราบใดที่ตระกูลซูยังอยู่ ตระกูลซูของเราก็จะกลับมายืนได้อีกครั้ง ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมเยว่เอ๋อร์เอง! ท่านไม่ต้องกังวล ฮ่องเต้ได้ตอบรับเรื่องนี้แล้วหรือยัง? เราจะเดินทางออกจากเมืองเมื่อไหร่?”
“เฮ้อ ฮ่องเต้ยังไม่ตรัสอะไร วันนี้ฝ่าบาทเองก็ไม่ได้คุยกับข้า คาดว่าเขายังไม่เห็นหนังสือลาออกของข้า!” ซูเผยอันตบหลังมือของฮูหยินซูแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฮูหยิน ข้าทำผิดต่อเจ้าแล้ว!”
“นายท่าน ไม่ว่าท่านจะรู้สึกผิดมากแค่ไหนก็ตาม ตราบใดที่ครอบครัวและลูก ๆ ของเรายังอยู่ที่นี่ เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ!” ฮูหยินซูยิ้ม
ซูเผยอันกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน ทั้งคู่นิ่งเงียบเหมือนกับบรรยากาศตอนนี้ที่เงียบสนิท
ซูจือเยว่วิ่งไล่ตามน้องสาวไป หากแต่เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของซูเฉี่ยนเยว่ จึงถามคนรับใช้แถวนั้นอย่างกระวนกระวาย “เจ้าเห็นคุณหนูบ้างหรือไม่?”
“คุณหนูวิ่งร้องไห้ขึ้นรถม้าไปแล้ว รถม้าตรงไปทางนั้นขอรับ!” คนใช้พูดด้วยความหวาดกลัว
ซูจือเยว่เห็นว่าไม่มีแม้แต่เงาของรถม้าจึงถอนหายใจ เพียงหวังว่าเฉี่ยนเยว่จะคิดได้ด้วยตัวเอง
ซูเฉี่ยนเยว่นั่งอยู่บนรถม้า ชุ่ยจู๋ที่อยู่ข้าง ๆ พลันถาม “คุณหนู เรากำลังจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?”
พวกเราเพิ่งกลับมาถึงจวนก็จะออกไปอีกแล้วหรือ แต่เมื่อเห็นท่าทางเศร้าของคุณหนู ชุ่ยจู๋จึงทำได้เพียงถามออกมาแค่นั้น
ซูเฉี่ยนเยว่ร้องไห้เพราะคิดว่าตัวเองจะจากเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ไป ในไม่ช้าสถานะคุณหนูใหญ่ตระกูลซูของนางจะค่อย ๆ เลือนหายไป มันทำให้นางอดรู้สึกเศร้าและร้องไห้ออกมาไม่ได้
ชุ่ยจู๋ไม่รู้ว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้รถม้าวิ่งไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย
ไม่รู้ว่านั่งมานานเท่าไรแล้วและไม่รู้ว่าจุดหมายครั้งนี้อยู่ที่ใด แค่รู้สึกว่าเสียงที่จอแจบนท้องถนนนั้นค่อย ๆ หายไป เมื่อชุ่ยจู๋ยกม่านรถขึ้นก็พบว่ารถม้าเข้ามาในตรอกเล็ก ๆ อันเงียบสงบ บรรยากาศรอบด้านทำให้ชุ่ยจู๋รู้สึกประหม่าเล็กน้อย “ที่นี่คือที่ไหน?”
คนขับรถม้าไม่แม้แต่จะเอ่ยคำใด ไม่แม้แต่จะหันศีรีษะกลับมามอง
รถม้ายังคงมุ่งตรงเข้าไปในตรอกนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้ซูเฉี่ยนเยว่ก็หยุดร้องไห้และรู้สึกประหม่าขึ้นมา ก่อนเปิดม่านรถม้าพลางถามว่า “เจ้ากำลังจะไปไหน?”
รถม้าแล่นเข้าไปในตรอกลึกเรื่อย ๆ และดูว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงของซูเฉี่ยนเยว่ และยังคงบังคับให้ม้าวิ่งต่อไป
เมื่อเห็นว่าคนขับรถม้าไม่ฟังตนเองเลย ซูเฉี่ยนเยว่พลันรู้สึกไม่พอใจ เมื่อเห็นเช่นนี้จึงเตะไปที่หลังแผ่วเบา คาดไม่ถึงว่าคนขับรถม้าจะเบี่ยงตัวไปด้านข้างหลบสัมผัสของซูเฉี่ยนเยว่ ก่อนกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง
“เจ้าไม่ใช่คนในจวนข้า!” ซูเฉี่ยนเยว่ตระหนก
“คุณหนูซู ตอนนี้กำลังมีคนรอท่านอยู่นานแล้ว!” ท้ายที่สุดคนขับรถม้าก็เอ่ยขึ้น
“ใครกัน? เจ้ากำลังจะพาข้าไปที่ไหน? หยุดรถ หยุดเดี๋ยวนี้!” ซูเฉี่ยนเยว่พุ่งเข้าไปขวางคนขับ และไม่คาดคิดว่าเขาจะฟาดแส้ลงบนหลังม้า ทำให้มันร้องออกมาและม้าก็วิ่งเร็วขึ้น
ชุ่ยจู๋ที่ไม่ได้ทันได้ตั้งตัว ร่างกายซวนเซศีรษะกระแทกเข้ากับกรอบประตูรถอย่างแรง ก่อนจะหมดสติไป
รถม้าแล่นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ซูเฉี่ยนเยว่พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวแล้วจับไว้ให้แน่น ความจริงนางอยากจะกระโดดลงจากรถม้าเสียเดี๋ยวนี้ หากแต่ก็ทำไม่ได้
ตอนซูเฉี่ยนเยว่วิ่งออกมาจากจวน และเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตูก็วิ่งขึ้นไป โดยไม่ทันสังเกตว่ามันใช่รถม้าของจวนหรือไม่ และคนที่อยู่บนรถม้าได้ถูกสลับตัวแล้ว
“คุณหนูซูไม่ต้องกังวล พวกเราใกล้จะถึงแล้ว! คุณหนูโปรดใจเย็น ๆ!” เสียงของคนขับรถม้าเรียบนิ่ง ทำให้หัวใจของซูเฉี่ยนเยว่เต้นไม่เป็นจังหวะ
ความเร็วของรถม้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ พื้นในตรอกเล็ก ๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ ร่างกายซูเฉี่ยนเยว่โคลงเคลงไปมาอยู่ในรถ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงหาที่ยึดเหนี่ยวเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเหวี่ยงไปกระแทกอะไรเข้า