ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2188 ในที่สุดก็สร่างเมาแล้ว
บทที่ 2188 ในที่สุดก็สร่างเมาแล้ว
หลี่ฝานเป็นคนสุดท้ายที่จากสวนชิง แม้ว่าเขาจะดื่มไปมาก แต่ระดับความสามารถในการดื่มของเขาค่อนข้างดี ตอนนี้เขาจึงดูปกติที่สุด
กู้เสี่ยวหวานแสดงความเคารพ และขอให้โค่วไห่ส่งเขากลับไป ก่อนออกเดินทางหลี่ฝานตัดสินใจว่าควรบอกกู้เสี่ยวหวานเกี่ยวกับบางสิ่งจะดีกว่า
“เสี่ยวหวาน ใต้เท้าซูไปร้านจิ่นฝูครั้งล่าสุดและพูดบางสิ่งที่ทำให้ข้างุนงง แต่ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แต่เมื่อมองดูตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็กระซิบกับกู้เสี่ยวหวานตามคำบอกเล่าของลูกจ้างในร้าน
กู้เสี่ยวหวานมองกลับไปที่หลี่ฝาน “เขาพูดอย่างนั้นจริงหรือ?”
“ใช่ ในตอนนั้นข้าคิดว่ามันดูแปลก ๆ เขารู้ได้อย่างไรว่าอาหารจานนี้ไม่ได้ถูกปรุงโดยท่านอา เมื่อข้าได้ชิมอาหารที่ปรุงโดยพ่อครัวและท่านอา ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างกันอย่างไร!” หลี่ฝานกล่าวด้วยความสับสน
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแปลก ๆ แต่เมื่อครู่นางไม่ได้เห็นสิ่งน่าสงสัย หลังจากฟังจบนางก็ขอให้คนไปส่งหลี่ฝานกลับไป
อาโม่กลับมาแล้วและบอกว่าซูหมางถึงกองกำลังรักษาความสงบอย่างปลอดภัยและหลับไปแล้ว เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าซูหมางกลับถึงกองอย่างปลอดภัย จึงกลับไปพักผ่อน
แต่นางสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมซูหมางถึงเชื่อฟังแต่ท่านอา?
ยังไม่นับสิ่งที่ลุงหลี่พูดในวันนี้ ซูหมางกินอาหารไปแค่ไม่กี่คำ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารจานไหนที่ท่านอาไม่ได้ปรุง?
แม้แต่กู้เสี่ยวหวานก็ยังรู้สึกว่าอาหารที่ปรุงโดยท่านอาของนางนั้นคล้ายคลึงกับที่ปรุงโดยท่านอาจารย์เกาและคนอื่น ๆ ในร้านจิ่นฝู
ท่าทางของท่านอากับใต้เท้าซูคืนนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อน แต่รู้จักกันผิวเผินเท่านั้นไม่มีอื่นใด
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เดิมทีนางต้องการถามท่านอาเกี่ยวกับสถานการณ์ของนาง แต่เมื่อคิดว่าดึกแล้ว จึงปล่อยวางเรื่องนี้ลง
คืนนี้ดื่มเหล้าไปจึงเวียนหัวเล็กน้อย ต้องขอตัวไปนอนก่อน
กู้เสี่ยวหวานดื่มเหล้าไปเล็กน้อยและนอนหลับสนิท สำหรับกองกำลังรักษาความสงบสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก
ติงลุ่นและเฉินเหมิ่งกอดผ้าห่มและนอนไม่หลับทั้งคืน หลังจากฟังกวีของซูหมางทั้งคืน พวกเขาไม่ได้นอนเลยจนกระทั่งรุ่งสาง
เมื่อเห็นว่าเสียงเงียบไปในที่สุด ทั้งสองก็กอดผ้านวมและหลับไป แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อหลับไปได้ไม่นาน ก็รู้สึกว่ามีคนมากระชากผ้านวมออก “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ติงลุ่นและเฉินเหมิ่งลืมตาขึ้น เห็นซูหมางยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาด้วยความงุนงง นอกจากน้ำเสียงแหบแห้งแล้ว ร่างกายยังเต็มไปพละกำลัง ผิวพรรณผ่องใส
ดูไม่เหมือนคนเมาเลย เขาจึงมีท่าทางสดใสเต็มเปลี่ยมด้วยพลัง
ติงลุ่นกะพริบตามองซูหมางที่ท่องกวีมาตลอดทั้งคืน “เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมถึงตื่นแล้วล่ะ?”
“พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้วจะไม่ตื่นได้อย่างไร? เจ้าสองคนไม่ต้องไปทำงานหรือ?” ซูหมางถามอย่างโกรธเคืองและหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า “ทำไมเจ้าสองคนถึงมานอนบนเตียงของข้าล่ะ? ข้า…ทำไมถึงนอนที่นั่น?”
ซูหมางชี้ไปที่พื้นและถามอย่างงงงวย เขาเหลือบมองติงลุ่นและเฉินเหมิ่งราวกับว่ากำลังตำหนิพวกเขาที่ขึ้นมานอนบนเตียงตนเองอย่างพลการ และปล่อยให้ตัวเองนอนบนพื้น
ติงลุ่นดีดตัวขึ้นจากเตียงด้วยความโกรธ “เจ้ายังจะกล้าตำหนิข้าอีกนะ! เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเมื่อคืนเจ้าเมาแค่ไหน!”
“ข้าเมาหรือ?” ซูหมางขมวดคิ้ว
“เจ้าจำไม่ได้จริงหรือ เมื่อเมาแล้วเจ้าทำร้ายทุกคนที่แตะต้องตัวเอง เมาแล้วก็ชอบท่องบทกวี และในอนาคตจะไม่มีใครกล้าดื่มกับเจ้าแล้ว เจ้าได้นอนหลับสบายทั้งคืน แต่เหล่าเฉินและข้าต้องฟังเจ้าท่องกวีตลอดทั้งคืน!” ติงลุ่นพูดอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าเตะข้าด้วยซ้ำ ตอนนี้ก้นของข้ายังเจ็บอยู่เลย!”
ซูหมางรู้ว่าพฤติกรรมหลังจากดื่มของตัวเองแย่มาก หลังจากฟัง แล้วเขาก็ขอโทษด้วยความลำบากใจ “ข้าขอโทษ ข้าดื่มมากเกินไปและจำอะไรไม่ได้เลย ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!”
เฉินเหมิ่งลุกขึ้นอย่างช้า ๆ โดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้นถามว่า “เมื่อวานนี้ทำไมเจ้าไม่ท่องกวีรักให้เราฟังบ้างล่ะ?”
เมื่อคืนก็ฟังกวีรักทั้งคืน พวกเขาต้องฟังจนหลับไป
ใบหน้าของซูหมางเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ ขณะที่เขากำลังจะดุเฉินเหมิ่ง ติงลุ่นก็นึกขึ้นได้ในทันที “โอ้ ใช่แล้ว เมื่อวานนี้เจ้าท่องกวีรักให้ท่านอาฟัง!”
หลังจากพูดจบ กลัวว่าซูหมางจะจำไม่ได้ เขาจงใจท่องกวีรักนั้นออกมา “ภูเขาและแม่น้ำอยู่ห่างไกล ยามอาทิตย์สาดแสงรุ่งอรุณ ทิศตะวันออกสาดย้อมด้วยสีแดง พี่ชายอยู่ทิศตะวันตก น้องสาวอยู่ทิศตะวันออก พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ควันปรุงอาหารเรียกร้องให้เจ้ากลับมา นกกางเขนโบยบินเหนือศีรษะ เมื่อฤดูหนาวไป ฤดูใบไม้ผลิก็กลับมา ภูเขาเขียวชอุ่ม คู่พี่รักน้อง ใจน้องมัวเมา…พันลี้ไม่ไกลนัก เราจะเป็นใจเดียวกันตลอดไป”
ซูหมางตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “เจ้าบอกว่าเมื่อวานนี้ข้าท่องกวีนี้ให้ท่านอาหรือ?”
“ใช่ ท่องครั้งเดียวไม่พอ เจ้าก็ยังท่องอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้านางหนีไปด้วยความเขินอาย เจ้าก็คงจะท่องอีกเป็นครั้งที่สามใช่ไหม?” ติงลุ่นพูดอย่างโกรธเคือง
ใบหน้าของซูหมางแดงก่ำในทันที เขาลังเลและพูดไม่ออก “ข้า… ข้า…”
“เจ้าอย่ามาพูดอยู่เลย เจ้าทำร้ายทุกคนที่เข้าใกล้ แต่กับท่านอาเจ้ากลับเชื่อฟังอย่างกับแมว เหอะเหอะ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาป้อนน้ำแกงแก้เมาค้างและบอกให้เจ้ากลับบ้าน เจ้าคงจะต้องนอนหนาวอยู่ข้างนอกแน่!” ติงลุ่นกล่าวด้วยความโกรธ
เมื่อซูหมางได้ยิน ใบหน้าของเขาก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่โคนหูไปจนถึงหลังหู “เจ้าบอกว่าท่านอาป้อนน้ำแกงแก้เมาค้างให้กับข้าอย่างนั้นหรือ?”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร? เฉินเหมิ่ง ข้าและอาจั่วถูกเจ้าทำร้าย เป็นเรื่องดีที่เจ้าไม่ได้ทำร้ายท่านอา ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าตัวเองจะสร่างเมาเร็วขนาดนี้ไหม!” ติงลุ่นเย้ยหยัน
เมื่อเฉินเหมิ่งเห็นใบหน้าแดงก่ำของซูหมาง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเหตุผลบางอย่างออก และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าท่าทางเขินอายของซูหมางนั้นชัดเจนเหมือนกับว่า…
เขาตกหลุมรักท่านอา!
ทันใดนั้นเฉินเหมิ่งก็นึกขึ้นได้ แต่เขาไม่สามารถบอกความจริงต่อหน้าได้ ดังนั้นจึงพูดว่า “เจ้าควรไปที่สวนชิงเพื่อขอบคุณท่านอา”
ซูหมางตอบรับอย่างรวดเร็ว ทั้งดีใจและกระวนกระวาย “ใช่ ใช่ ข้าจะไปทันที!”
หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังกลับออกไปข้างนอก เสื้อผ้าที่เขาใส่เมื่อวานยังคงยับยู่ยี่
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินเหมิ่งก็ตะโกนว่า “กลับมาก่อน อย่างน้อยก็อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน รูปลักษณ์แบบนั้นจะไปพบคนอื่นได้อย่างไร?”
ติงลุ่นรู้สึกงงงวย “พวกเราล้วนแต่เป็นผู้ชายจะสนใจอะไรพวกนี้ทำไม? คิดถึงตอนนั้นที่เราอยู่ชายแดน ครึ่งเดือนที่เราไม่ได้…”