ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2189 ในที่สุดต้นเถี่ยก็ผลิดอก
บทที่ 2189 ในที่สุดต้นเถี่ยก็ผลิดอก
ติงลุ่นกำลังจะพูดก็เห็นซูหมางหันกลับมา ชายร่างใหญ่ใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าหมายความว่าให้ข้าไปอาบน้ำใช่ไหม!”
หลังจากพูดจบเขาก็รีบเข้าไปข้างใน
ติงลุ่นมองท่าทางของซูหมางด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ “ไม่ใช่…เหล่าเฉิน เหล่าซูผู้นี้… ข้าจำเขาได้ในปีนั้น เขาไม่อาบน้ำตั้งเดือนหนึ่ง นี่เป็นไปได้อย่างไร…”
เฉินเหมิ่งตบไหล่เขาและพูดบางอย่างอย่างลึกลับ “เขาตั้งใจทำเพื่อนาง!”
ติงลุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็รู้ตัวทันใด เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเฉินเหมิ่งที่อยู่ห่างออกไป เสียงของเขาก็ดังกว่าปกติ “ในที่สุดต้นเถี่ยก็ผลิดอก*[1]แล้ว!”
หลังมื้อเช้า กู้เสี่ยวหวานกำลังรดน้ำดอกไม้ในสวน พลางตัดแต่งกิ่งไม้ในสวน เดิมทีมีเพียงต้นกุ้ยฮวาที่ส่งกลิ่นหอมหวานเพียงต้นเดียว ต่อมานางรู้สึกว่าต้นไม้ใหญ่เกินไปและสามารถใช้เป็นที่หลบซ่อนได้ง่าย นางจึงถอนต้นไม้ออกและปลูกดอกไม้และต้นไม้เตี้ย ๆ จำนวนมากแทนที่ต้นไม้ที่เคยอยู่
ในวันธรรมดา เมื่อนางเหน็ดเหนื่อยจากการคัดตัวอักษร นางก็ไปที่สนามหญ้าเพื่อรดน้ำดอกไม้และถอนวัชพืช ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปลูกด้วยตนเอง
เมื่ออาโม่มาถึง เขาบังเอิญเห็นแม่นางกำลังถอนวัชพืชอย่างมีความสุข เขาก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “คุณหนู มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับตระกูลซู!”
“เกิดอะไรขึ้น?” แน่นอนกู้เสี่ยวหวานรู้ว่าเป็นตระกูลซูตระกูลไหน “เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ตระกูลซูก็จะมีงานมงคลแล้วไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้น?”
“ซูเฉี่ยนเยว่หายตัวไป! ตอนนี้คนจากตระกูลซูกำลังตามหานางอยู่!”
“หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อวานตอนบ่ายขอรับ ข้าได้ยินว่านางวิ่งออกมาจากบ้าน พอขึ้นรถม้าก็หายตัวไปทันที”
“มีความขัดแย้งเกิดขึ้นหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานถาม ซูเฉี่ยนเยว่คนนี้เป็นคนจิตใจเปราะบางและชื่นชอบในชื่อเสียงเกียรติยศ เนื่องจากนางหนีออกจากบ้าน นางน่าจะต้องมีความขัดแย้งกับครอบครัวของนาง “นางไปหาซูหมิ่นที่จวนหมิงอ๋องหรือไม่?”
“ข้าได้ยินมาว่าไม่ ตระกูลซูกระวนกระวายมากแต่ไม่กล้าตามหาอย่างเปิดเผย แต่ก็มีข่าวลือเล็ดลอดมาอยู่เสมอ!” อาโม่กล่าว
กู้เสี่ยวหวานล้างมือ ยกชาขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าไปตามหานาง เพราะอย่างไรเสีย…ซูจือเยว่ก็เคยช่วยข้าไว้! อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด!”
อาโม่พยักหน้าตอบและรีบออกไปทันที
เมื่อจัดการดอกไม้และพืชใกล้เสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็จ้องมองดอกไม้และพืชเหล่านี้สักพัก อาจั่วคิดว่านางกำลังคิดถึงซูเฉี่ยนเยว่จึงพูดว่า “ซูเฉี่ยนเยว่ทำสิ่งเลวร้ายมามากมายเพราะหมิงตูจวิ้นจู่ชอบนาง คุณหนูอย่าห่วงนางเลย!”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นห่วงนางหรือ?” กู้เสี่ยวหวานมองอาจั่ว แล้วกระตุกยิ้ม
ไม่เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว…
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานค่อย ๆ จางหายไป “ซูเฉี่ยนเยว่หายตัวไป ข้าเกรงว่าจะเป็นโชคร้าย!”
ตระกูลซูกำลังจะส่งเกี้ยวไปรับเจ้าสาวในอีกไม่กี่วัน เจ้าสาวคือคุณหนูจากจวนหมิงอ๋อง เวลานี้ซูเฉี่ยนเยว่กลับหายตัวไป และเกรงว่าจะไม่ใช่ความผิดของนาง สุดท้ายซูเฉี่ยนเยว่ชื่นชอบซูหมิ่นเป็นอย่างมาก และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสร้างเรื่องก่อนงานมงคลใหญ่เช่นนี้
สิ่งเดียวที่มั่นใจตอนนี้คือซูเฉี่ยนเยว่ถูกลักพาตัวไป และผู้ที่ลักพาตัวนางจะต้องไม่เกรงกลัวจวนหมิงอ๋อง เพราะการหายตัวไปของซูเฉี่ยนเยว่จะทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่างานแต่งอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเกิดขึ้นหรือไม่
“คุณหนูหมายความว่ามีคนไม่อยากให้งานแต่งงานเกิดขึ้นงั้นเหรอ?” อาจั่วถาม “จะเป็นใครกัน ตระกูลซูมีคุณธรรมและมีชื่อเสียงที่ดี มีเพียงจวนหมิงอ๋องเท่านั้น… เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่ทำจะเป็นศัตรูกับจวนหมิงอ๋อง”
กู้เสี่ยวหวานส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ข้าไม่เข้าใจ หากเป็นการขัดขวางไม่ให้งานแต่งงานเกิดขึ้นอย่างราบรื่น ทำไมพวกเขาถึงลักพาตัวซูเฉี่ยนเยว่ล่ะ? ถ้าลักพาตัวซูจือเยว่ไปจะทำให้จัดงานแต่งงานไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
อาจั่วตกอยู่ในภวังค์
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนกกระพือปีกจากบนท้องฟ้า กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้น และเห็นนกพิราบสีดำสนิทบินโฉบลงมาที่โต๊ะกินข้าว
“โม่เกอ…” กู้เสี่ยวหวานร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นมัน อาจั่วรีบรุดขึ้นหน้าเพื่อปลดม้วนจดหมายที่ผูกไว้กับขาของมัน และส่งให้กู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตื่นเต้นมาก หลังจากเปิดดูใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “พี่เย่จือกลับมาแล้ว!”
ฉินเย่จือกำลังเดินทางกลับเมืองหลวงด้วยความเร่งรีบ ในป่าทึบบนภูเขามีเพียงร่างที่ควบม้าผ่านไป เสื้อคลุมสีดำปลิวไสวไปตามสายลม มองดูแล้วลึกลับยิ่งนัก
อาโย่วตามหลังเขามาติด ๆ จนกระทั่งเห็นกำแพงเมือง ฉินเย่จือจึงดึงบังเหียนม้า และเอ่ยว่า “นายท่าน เราจะไปหาคุณหนูหรือ…”
ฉินเย่จือมองไปที่กำแพงเมืองที่อยู่ไม่ไกล และดูเหมือนจะนึกถึงผู้หญิงที่เขาคิดถึงทั้งกลางวันและกลางคืน รอยยิ้มอ่อนโยนก็เกิดขึ้นที่มุมปากของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยฝุ่น แต่ไม่มีความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร แต่ได้ยินเขาควบม้าออกไปอีกครั้ง!
อาโย่วไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงและสะบัดแส้ใส่ม้า มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
ดูเหมือนว่าภูเขาและป่าไม้จะกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
แต่แล้วเสียงของม้าและล้อก็ดังก้องไปทั่วป่าทึบอีกครั้ง และรถม้าที่ลากโดยม้าสี่ตัวควบผ่านไป เส้นทางขรุขระ แต่รถม้ากลับไม่สั่นสะเทือนแม้แต่น้อย
โครงเกวียนทำจากไม้จันทน์แดงอายุมากกว่าร้อยปี กรอบนอกสลักลวดลายซับซ้อน ประดับด้วยดิ้นทองดูวิจิตรงดงามและหรูหรา
รถม้าถูกปกปิดไว้แน่นจนมองไม่ออกว่าใครนั่งอยู่ข้างใน เมื่อลมกระโชกแรงพัดผ่านมาทำให้ผ้าม่านปลิวไสว เผยให้เห็นชายคนหนึ่งในชุดสีขาว เรือนผมสีดำขลับนั่งอยู่ในรถม้า ถึงเป็นเพียงชั่วพริบตา แต่ก็ยังเห็นว่าใบหน้าด้านข้างนั้นหล่อเหลาอย่างยิ่ง
รถม้าวิ่งผ่านไป แต่แล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อใกล้ถึงเมืองหลวง ม่านของรถม้าถูกยกขึ้น ก่อนเด็กคนหนึ่งจะโผล่หน้าออกไป จากนั้นได้ยินว่า “ท่านอาจารย์ พวกเรามาถึงเมืองหลวงแล้ว!”
[1] ต้นเถี่ยก็ผลิดอก หมายความว่ามีบางสิ่งที่หายากมากหรือยากมากที่จะบรรลุ