ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2198 ไม่เหลืออะไร
บทที่ 2198 ไม่เหลืออะไร
ท้องฟ้าเวลานี้มืดสนิท ป่าทึบบดบังแสงสว่างจากดวงจันทร์ ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความวังเวง
เมื่อกลับมาถึงวัดร้าง เขาได้ยินเสียงเศร้าโศกที่คุ้นเคยดังขึ้น “ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าท่านอ๋องตกลงจะช่วยเรา? สิ่งนี้คือการช่วยเรางั้นหรือ ข้าอยากกลับจวน ข้าอยากกลับจวน!”
ฮูหยินซูกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
ซูเผยอันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขาคิดมาอย่างดีแล้ว คำพูดนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมปาก พวกเราจะเชื่อคนคนนั้นได้อย่างไร
บางทีเขาอาจไม่ใช่ผู้สำเร็จราชการแทนก็ได้ ผู้สำเร็จราชการไม่เคยติดต่อกับขุนนางคนไหน แต่กลับมาพบเขาโดยตรง พูดคุยกับเขา และบอกว่าจะช่วยเขา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เขาได้ตัดสินใจยกเลิกการแต่งงานและลาออกจากตำแหน่งแล้ว และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“ฮูหยิน เราสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ด้วยกัน ฮูหยิน เราจะไม่เป็นไร เราจะไม่เป็นไร!” ซูเผยอันทำได้เพียงปลอบโยน
“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรเลย เราจะกลับมามีทุกอย่างอีกครั้งได้อย่างไร ลูกสาวผู้น่าสงสารของข้า ท่านคืนลูกสาวของข้ามา ถ้าท่านไม่ลาออก เยว่เอ๋อร์ก็คงไม่โกรธจนหนีออกจากบ้าน มันดีเสียเหลือเกิน ลูกสาวหายตัวไปแล้ว จวนก็ไม่มีแล้ว ทุกอย่างของเราพังไปหมดแล้ว ตอนนี้ไม่เหลืออะไรเลย ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว!” ฮูหยินซูร้องไห้และกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
วัดร้างแห่งนี้มีขนาดเล็กและทรุดโทรมมาก ทำให้เสียงร้องโหยหวนของฮูหยินซูฟังดูเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซูจือเยว่ยืนอยู่นอกประตู และรู้สึกเศร้าขึ้นมา
“กู้เสี่ยวหวาน นางจิ้งจอกแพศยา ทั้งหมดเป็นเพราะนาง ถ้าไม่ใช่เพราะนางเหตุใดลูกชายของเราถึงต้องยกเลิกการแต่งงาน ตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรแล้ว กู้เสี่ยวหวานจะสนใจเขาได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!” ทันใดนั้นฮูหยินซูก็นึกอะไรบางอย่างออก และหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ
ซูเผยอันตะโกนด้วยความโกรธ “เขาเป็นลูกชายของเจ้า เจ้าและข้าต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เขาเป็นลูกชายคนเดียวของข้า ข้าหวังว่าเขาจะปลอดภัยและมีความสุขไปตลอดชีวิต ข้าเคารพการตัดสินใจของเขา”
“ข้าก็เคารพในการตัดสินใจของเขา แต่…” ฮูหยินซูไม่สามารถพูดอะไรได้ นางไม่กล้าพูดคำที่โหดร้ายแบบนั้นออกมา เพราะเขาก็เป็นลูกชายของตนเองเช่นกัน
ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรเลย
“ฮืออ…” มีเพียงเสียงร้องไห้ของฮูหยินซูที่ดังก้องในวัดร้าง
ซูเผยอันรู้สึกอึดอัดไม่น้อย เขาโอบกอดนางอย่างนุ่มนวลและปลอบโยน “ฮูหยิน ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่มีข้าอยู่ เราจะหาเยว่เอ๋อร์พบแน่นอน ตราบใดที่เราพบเยว่เอ๋อร์ เราจะไปจากเมืองหลวง ชีวิตของเราต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!”
“ฮือ…นายท่าน ข้าไม่โทษท่าน ข้าไม่โทษจือเยว่ ข้า…ข้าเป็นห่วงเยว่เอ๋อร์! ฮือ นางเป็นผู้หญิง นางหายไปนานเช่นนี้ ข้าเป็นห่วงนางมาก… ฮือ นายท่าน…”
ฮูหยินซูคว้าคอเสื้อของซูเผยอัน และร้องไห้ฟูมฟาย
ซูจือเยว่ยืนอยู่นอกประตูสักพัก จนกระทั่งเสียงร้องไห้ข้างในก็เบาลง ซูจือเยว่จึงรีบเช็ดน้ำตา แสร้งทำเป็นว่าเพิ่งกลับมา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว ดูสิ ข้าจับกระต่ายและปลาได้ตั้งหลายตัว!”
มื้อเย็นนี้พวกเขากินอาหารไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากอาหารรสชาติไม่ดีและทุกคนไม่อยู่ในอารมณ์อยากอาหาร พวกเขาจึงแทบกินอะไรไม่ลง
ซูจือเยว่มองรูปลักษณ์อันเศ้ราของมารดา ความเศร้าที่ส่งออกมานั้นทำให้ภายในซากวัดรกร้างนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัด
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะไปล้างตัวที่ลำธาร เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา!” น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย
ฮูหยินซูนอนอยู่ในอ้อมแขนของซูเผยอันโดยไม่พูดอะไร ซูเผยอันจึงพยักหน้า
“ไปเถอะ ข้างนอกมันมืด ระวังตัวด้วยล่ะ”
ซูจือเยว่เดินออกจากวัดร้างอย่างรวดเร็ว และตรงไปที่ลำธาร ชายหนุ่มก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าหากเขาช้ากว่านี้ จะไม่อาจระงับความโศกเศร้าในใจไว้ได้
คืนนี้ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ ทำได้เพียงอาศัยแสงจากดวงดาวที่เปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้า เมื่อเดินมาถึงลำธาร เขาทรุดตัวนั่งลงและชันเข่าขึ้นมากอดไว้เงียบ ๆ
……
หลังจากกู้เสี่ยวหวานทานอาหารเย็นแล้ว อาจั่วก็เก็บข้าวของทุกอย่าง กู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกเดินทางพร้อมอาจั่วอย่างเงียบ ๆ
ก่อนออกเดินทาง นางฝากข้อความถึงโค่วตันว่าถ้าฉินเย่จือกลับมาก็ให้บอกความจริงกับเขาไป
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังเรื่องนี้จากฉินเย่จือ ซูจือเยว่ช่วยเหลือตนเองเอาไว้มาก และซูเผยอันก็ช่วยกู้หนิงอันให้พ้นจากข้อกล่าวหา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงยื่นมือเข้าไปช่วยซูจือเยว่
โค่วไห่บังคับรถม้าสีน้ำเงินธรรมดาออกจากเมืองหลวงไป
ทหารที่เฝ้าประตูเมืองเห็นว่ามีรถม้าคันหนึ่งกำลังจะออกจากเมืองจึงพูดว่า “ทะเบียน”
โค่วไห่หยิบทะเบียนบ้าน และแอบหยิบถุงเงินยื่นให้ทหารด้วยความเคารพ
ทะเบียนบ้านนี้จัดทำโดยหลี่ฝาน ทหารกะน้ำหนักถุงเงินในมือ จากนั้นดูที่สมุดทะเบียนบ้านและมองไปที่รถม้า จากนั้นก็ปปล่อยพวกนางไป “อีกครึ่งชั่วยามจะปิดประตูเมือง รีบกลับมาด้วยล่ะ!”
โค่วไห่แสดงความขอบคุณและบังคับรถม้าจากไป
รถม้าวิ่งไปท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด กู้เสี่ยวหวานมองไปข้างนอกและพบว่าตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว พวกเขามีเวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ในไม่ช้ากู้เสี่ยวหวานก็มาถึงซากวัดร้าง หญิงสาวสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าเดินลงมาจากรถม้า โค่วไห่และอาจั่วย้ายสิ่งของบนรถเข้าไปด้านใน
ซูเผยอันเอนกายพิงเศร้า เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวข้างนอก ก็ลุกขึ้นยืนทันทีและและมองผู้มาใหม่อย่างระมัดระวัง ตอนนี้บริเวณโดยรอบมืดสนิท แต่ก็ยังมองเห็นได้ราง ๆ ว่ากำลังมีคนเดินเข้ามา
และไม่ใช่แค่คนเดียว
“ใครน่ะ?” ซูเผยอันตะโกน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นขุนนางอีกต่อไป แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังน่าเกรงขาม
ฮูหยินซูตื่นขึ้น และมองคนมาใหม่ด้วยความตกใจ “นายท่าน พวกเขาเป็นใครกัน?”
สิ่งแรกที่ซูเผยอันนึกถึงคือ พวกเขาจะต้องเป็นคนที่จวนหมิงอ๋องส่งมา ตอนนี้พวกเขาออกจากเมืองหลวง แต่ซูห้าวและซูหมิ่นคงไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ
“ใต้เท้าซู ฮูหยินซู อย่ากลัวเลย ข้าเอง!” กู้เสี่ยวหวานก้าวไปข้างหน้า ปลดผ้าคุลมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามข้างใน