ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2201 ห้ามให้นางเข้าเมือง
บทที่ 2201 ห้ามให้นางเข้าเมือง
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่นั้น ซูจือเยว่ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงจนไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป และเอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าด้วยความงุนงง แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา
ซูจือเยว่มองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็ได้ยินเสียงกู้เสี่ยวหวาน ถอนหายใจ และพูดว่า “นายน้อยซูตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว และประตูเมืองกำลังจะปิด ข้าต้องขอตัวกลับก่อน”
ซูจือเยว่ไม่ต้องการให้กู้เสี่ยวหวานตกอยู่ในอันตราย เมื่อนึกถึงหินก้อนใหญ่ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ ก็พูดว่า “องค์หญิง ให้ข้าไปส่งท่านที่ประตูเมืองเถอะ เมื่อส่งท่านถึงประตูเมืองหลวงแล้วข้าจะกลับทันที”
ทันทีหลังจากนั้นก็รู้สึกราวกับว่าตนเองจะทำให้กู้เสี่ยวหวานอึดอัดใจ จึงชี้ไปที่ที่นั่งบนรถม้าและพูดว่า “ข้าแค่นั่งข้างนอกและขับรถม้าก็พอ”
สายตาเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ อาจั่วและโค่วไห่มองหน้ากัน จากนั้นมองไปที่หินก้อนใหญ่ ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้คนมากขึ้นก็มีการป้องกันที่มากขึ้น
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่กลัวความตาย แต่การเดินทางตอนกลางคืนมักไม่สะดวก นางจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณนายน้อยซูแล้ว!”
หลังจากพูดจบก็กลับเข้าไปในรถม้า
ซูจือเยว่ขึ้นไปนั่งข้างโค่วไห่ โค่วไห่ยกแส้ขึ้นและฟาดลงบนตัวม้า จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่เครื่องหอมภายในรถ ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามและมันก็มากพอที่จะไปถึงประตูเมืองพอดี
บริเวณหน้าประตูเมือง ทหารยามสองคนหาวขึ้นด้วยความง่วงนอน “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เกรงว่าจะไม่มีใครมาแล้ว!”
“ยังมีเหลือเวลาอีกครึ่งก้านธูป เมื่อถึงเวลาเราค่อยปิดประตู” เมื่อเห็นว่าตาของเขากำลังจะปิดลงให้ได้ ทหารอีกคนหนึ่งจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าอย่าเผลอหลับไปล่ะ ถ้าพวกเราหลับในหน้าที่ เจ้าก็จะถูกลงโทษ!”
เมื่อทหารที่หาวได้ยินว่าตนกำลังจะถูกลงโทษ เขารีบยืดตัวตรงเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอหลับไปอีก
ในขณะนี้ก็มีรถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านไป หัวหน้าทหารเห็นจึงรีบวิ่งเข้าไปดูและก็พบว่าเป็นซ่งฉีเหิงเฉิงเหมินตูซือ*[1]
เขารีบกุมมือแล้วพูดด้วยความเคารพ “ซ่งตูซือ…”
“ประตูเมืองกำลังจะปิดแล้ว ผู้ที่เข้าเมืองในเวลานี้ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด อย่าปล่อยให้ใครลักลอบเข้าเมืองหลวงมาได้ ความสงบสุขของเมืองหลวงอยู่ในมือพวกเจ้า! จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาด เข้าใจหรือไม่?”
“ซ่งตูซือโปรดวางใจ ข้าจะตรวจสอบสมุดทะเบียนบ้านพวกเขาอย่างละเอียด พยายามอย่างเต็มที่ในการป้องกันเมือง และป้องกันไม่ให้ใครก็ตามที่มีสถานะไม่เหมาะสมเข้ามาในเมืองหลวง!”
ซ่งฉีเหิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป
“ยังมีเวลาอีกครึ่งก้านธูปก่อนที่ประตูเมืองจะปิด ทุกคนและรถม้าทุกคันที่เข้ามาในเมืองหลวงจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด”
เมื่อเหล่าทหารได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ยืดตัวตรงและขานรับเสียงดัง “รับทราบ!”
รถม้าของซ่งฉีเหิงมาหยุดอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง
ตรอกเล็ก ๆ แห่งนี้มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ เมื่อมาถึงซ่งฉีเหิงก็ลงจากรถม้าทันที และเดินไปที่รถม้าอีกคันอย่างรวดเร็ว พร้อมประสานมือและพูดด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อง…”
“จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” น้ำเสียงเกียจคร้านแต่ยังสง่างามดังขึ้นจากด้านใน
“ตอบกลับท่านอ๋อง เรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จะไม่สามารถเข้าเมืองได้ในคืนนี้!” ซ่งฉีเหิงกล่าวด้วยความเคารพ
“เป็นการดีที่สุดหากนางจะไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้อีก หญิงคนนี้ช่างกล้าหาญจริง ๆ ที่ไปส่งของให้กับพวกที่ถูกเนรเทศ ค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้ อาจจะมีคนหมายเอาชีวิตนางอยู่ก็ได้ ชีวิตนางช่างสั้นยิ่งนัก!” ซูห้าวเย้ยหยัน
“สิ่งที่ท่านอ๋องพูดเป็นความจริงมาก ค่ำคืนมืดมิดเช่นนี้ ชานเมืองก็เต็มไปด้วยป่าทึบและโจรป่า นางจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนใช้ข้างกายทั้งสองคนของนางแล้ว” ซ่งฉีเหิงตอบ
“หึ…” ซูห้าวพ่นลมหายใจเย็นชา “กู้เสี่ยวหวานคนนี้ทำตัวต่อต้านข้ามาหลายครั้งแล้ว และการที่ซูจือเยว่ยกเลิกงานแต่งงานในครั้งนี้ ข้าเกรงว่ามันจะเกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวาน เขาถูกสาวชาวนาหลอกและดูหมิ่นศักดิ์ศรีแห่งราชวงศ์ สตรีผู้น่ารังเกียจผู้นี้…”
น้ำเสียงของซูห้าวเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ และคำพูดของเขาก็เหมือนกับมีดสั้นที่อาบด้วยยาพิษ
ซ่งฉีเหิงส่งหมิงอ๋องออกไปแล้วหันหลังกลับ และยังไม่ลืมที่จะบอกคนรอบข้างว่า “จับตาดูที่ประตูเมืองให้ดี”
จากนั้นเขาก็จากไปด้วยความพอใจ
ด้านนอกประตูเมือง รถม้าของกู้เสี่ยวหวานวิ่งมาตามถนน ซูจือเยว่พิงโครงรถม้าและรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ในรถม้ากู้เสี่ยวหวานนั่งอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว เขาไม่เคยใกล้ชิดกับนางขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยอยู่กับนางนานมากขนาดนี้
เขาไม่เคยกระตือรือร้นขนาดนี้ อยากให้ถนนสายนี้ยาวขึ้นอีกหน่อย
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้ากำแพงเมืองสูงก็ปรากฏต่อหน้า เมื่อซูจือเยว่เห็นกำแพงเมืองอันงดงามและคุ้นเคย เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ซูจือเยว่ไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้และเป็นการดีที่สุดที่จะไม่เข้าใกล้ประตูเมืองมากเกินไป กู้เสี่ยวหวานหยุดรถม้าห่างออกไปครึ่งกิโลเมตร
“นายน้อยซู ขอบคุณท่านมาก ตอนนี้เราถึงประตูเมืองแล้ว ท่านควรรีบกลับไปให้เร็วที่สุด!” กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการให้ซูจือเยว่ตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นนางจึงแนะนำให้เขารีบกลับไป
ซูจือเยว่มองไปที่กำแพงเมืองตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะแยกจากอีกฝ่าย แต่ก็กลัวว่าการที่ตัวเองยังรั้งที่จะอยู่ต่อจะสร้างความลำบากให้กู้เสี่ยวหวาน จึงต้องพยักหน้าอย่างจำใจ “เอาล่ะ องค์หญิงเดินทางปลอดภัย!”
เขาลงจากรถม้าและยืนอยู่ข้างรถม้าหากแต่ยังไม่ยอมเดินไป และยืนอยู่ข้างรถม้าก่อนจะจากไปอย่างไม่เต็มใจ
ขณะที่รถม้ากำลังจะออกไป กู้เสี่ยวหวานก็นึกถึงบางสิ่ง “เดี๋ยวก่อน…”
ดวงตาของซูจือเยว่เปล่งประกายขึ้นเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า
กู้เสี่ยวหวานหยิบตะเกียงลงจากรถแล้วมอบให้ซูจือเยว่ “ตอนนี้มืดแล้ว และท่านก็ต้องเข้าไปในป่าทึบ ท่านนำตะเกียงไปด้วยเถอะ!”
รถม้าแล่นออกไปโดยไม่หยุด เมื่อเห็นว่ารถม้าหายลับสายตาไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลื่อนสายตาไปที่ตะเกียงในมือ
[1] ผู้บัญชาการทหาร