ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2209 ป่วยแล้ว
บทที่ 2209 ป่วยแล้ว
เด็กที่อยู่ข้าง ๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก เขามองบุรุษรูปงามผู้เป็นอาจารย์ของตัวเองด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงนำผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งส่งให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้ยืนอยู่ด้านข้าง
บุรุษผู้นั้นไม่ได้รับมา เขาเพียงจ้องมองไปยังเหวลึกที่มืดมิดไร้ก้นบึ้งอยู่เงียบ ๆ ดวงตาฉายความโดดเดี่ยวไร้ที่สิ้นสุดอย่างเด่นชัด ในขณะเดียวกันก็เจือไปด้วยความหวังอันแน่วแน่
ตาแก่หัวล้านนั่น น่าจะกลับเมืองหลวงแล้ว!
“คุณหนูยังหลับอยู่ เมื่อคืนนี้นางฝันร้าย ให้พวกเขาคอยดูคนด้านนอกไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้เข้ามารบกวนคุณหนูได้!”
เสียงที่พยายามกดให้ต่ำลงของอาจั่วดังมาจากด้านนอก กู้เสี่ยวหวานตื่นนานแล้ว แต่นางแค่รู้สึกเวียนหัวและปวดเมื่อยร่างกายเล็กน้อยจึงไม่ได้ลุกจากเตียง พอได้ยินเสียงรบกวนแว่วมา นางจึงค่อย ๆ หยัดกายขึ้น “ผู้ใดมากัน?”
ประตูเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เมื่ออาจั่วเดินเข้ามาเห็นว่าใต้ตาของกู้เสี่ยวหวานดำคล้ำ นางก็ปวดใจมาก “คุณหนูเหตุใดจึงไม่นอนให้มากขึ้นอีกหน่อยเล่า?”
“ด้านนอกมีผู้ใดมากัน?” เมื่อคืนกู้เสี่ยวหวานนอนไม่ค่อยหลับตอนนี้จึงรู้สึกปวดหัว นางกดนวดบริเวณขมับพลางเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนแรง
“เป็นครอบครัวเหลียงโส่วอี้”
พอได้ยินว่าคนครอบครัวนี้มา กู้เสี่ยวหวานก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “พวกเขามาทำอะไร?”
อาจั่วลังเลที่จะพูด นางกลัวว่าคนข้างนอกนั่นจะทำให้คุณหนูเป็นทุกข์อีก กู้เสี่ยวหวานกวาดตามองสาวรับใช้คนสนิทแวบหนึ่ง แม้ว่าสายตาจะเรียบเฉย แต่กลับมีความเด็ดเดี่ยวที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ฉายชัดอยู่
อาจั่วจนปัญญาจึงได้แต่พูดว่า “พวกเขามาเอะอะโวยวายตรงประตู เพื่อขอให้คุณหนูให้เงินพวกเขา”
อาจั่วมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“เอาเงินให้?” กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจจึงถามอีกครั้งว่า “เอาเงินอะไรให้พวกเขา?”
“พวกเขาบอกว่าพวกเขาช่วยเหลือคุณหนูไว้ตั้งมาก บอกว่าพวกเขาล่วงเกินครอบครัวใหญ่ตระกูลกู้จนไม่มีคนที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือได้แล้ว ตอนนี้อยู่เมืองหลวงก็หวังพึ่งพาคุณหนู จึงอยากให้ท่านให้เงินพวกเขาเพิ่มอีกสักหน่อย” พอนึกถึงสีหน้าที่ปลิ้นปล้อนของครอบครัวเหลียงโส่วอี้ อาจั่วก็รู้สึกคลื่นไส้
“ไม่ใช่ว่าข้าเอาเงินให้พวกเขาพันตำลึงและพวกเขาก็นำไปเปิดกิจการแล้วหรอกหรือ? ทั้งข้ายังให้บ้านพวกเขาหลังหนึ่งเพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีก เหตุใดจึงต้องการมาเอาเงินเพิ่มกัน?”
อาจั่วว่า “พวกเขาบอกว่าเมืองหลวงมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป พวกเขาใช้เงินไปหมดแล้ว ตอนนี้แม้แต่เงินกินข้าวก็ไม่มี!”
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเหอะ ๆ อย่างเย็นชา “กินหูฉลามรังนกกันทุกวันงั้นรึ? ถึงได้แพงขนาดนี้… แค่กแค่ก…”
กู้เสี่ยวหวานพูดยังไม่จบประโยคก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง อาจั่วเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปหมายจะลูบหลังผู้เป็นนาย
ทว่ากู้เสี่ยวหวานโบกไม้โบกมือ อาจั่วจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านข้างพลางมองนางอย่างเจ็บปวดร้อนใจ
กู้เสี่ยวหวานใจสั่นรุนแรง มันผิดปกติราวกับว่าหัวใจจะกระโดดออกมาจากอกได้ตลอดเวลา นางคว้าคอเสื้อตัวเองแน่นและพยายามจะลุกขึ้นยืน
หน้าของนางเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ จากอาการไอ กู้เสี่ยวหวานยืนขึ้น นางเพิ่งจะขยับตัวไปได้ไม่กี่ก้าว แต่ร่างกายก็อ่อนแรงจนล้มลงมาทันที อาจั่วที่ตาไวมือไวจึงพยุงนางไว้และถามด้วยความเป็นห่วง “คุณหนู ท่านเป็นอะไร?”
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเวียนหัวหน้ามืด แน่นหน้าอก ร่างทั้งร่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง “อาจั่ว ข้า… เวียนหัว…”
อาจั่วตกใจมาก พอรู้สึกถึงความผิดปกติบริเวณฝ่ามือ นางก็รีบเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของผู้เป็นนาย หน้าผากของกู้เสี่ยวหวานนั้นร้อนผ่าว อาจั่วที่เห็นหน้าของคุณหนูขึ้นสีแดงและร่างกายก็อ่อนแรง ก็แสดงอาการร้อนรนในทันที “คุณหนู ท่านกำลังเป็นไข้!”
พอกู้เสี่ยวหวานใช้มือแตะหน้าผากตนเองก็เป็นไปตามคาด ไม่แปลกใจเลยที่ร่างกายจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ ที่แท้ก็เป็นไข้แล้วนี่เอง
กู้เสี่ยวหวานนอนลงไปอีกครั้ง หัวของนางหนักขึ้นเรื่อย ๆ นางพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ข้าไม่เป็นไร พักผ่อนสักพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ดวงตาของอาจั่วแดงก่ำ “คุณหนู ท่านพักผ่อนก่อน ข้าจะไปเรียกคน!”
พูดจบอาจั่วก็รีบพุ่งออกไปข้างนอก
หลังจากนั้นไม่นาน กู้เสี่ยวหวานก็เห็นโค่วตันเดินเข้ามาพร้อมกับอ่างทองแดงในมือ ตอนนี้นางปวดหัวอย่างหนัก ร่างกายเมื่อยล้าจนไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้ลมด้านนอกจะแรงมากเกินไป
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเวียนหัวจนมองเห็นแต่ร่างที่เลือนรางไม่ชัดเจนของโค่วตัน จากนั้นก็เป็นลมไปและไม่รู้สึกตัวอีก
ก่อนที่จะเป็นลมนางได้ยินโค่วตันร้องเรียกอย่างร้อนใจ “คุณหนู คุณหนู…”
ดวงอาทิตย์เปล่งประกายเจิดจ้าในเดือนเก้า แสงแดดทางทิศตะวันออกที่โผล่พ้นออกมาจากหมู่เมฆส่องแสงสีทองระยิบระยับ สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามากระทบร่างราวกับต้องการจะแบ่งปันความอบอุ่นที่เจือไปด้วยไอเย็นพอให้รู้สึกสบาย
ในตำหนักจินหลวน ซูเทียนซื่อกำลังประทับอยู่บนพระที่นั่ง แม้ว่าพระพักตร์จะอ่อนเยาว์ แต่ทั่วทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ทรงอำนาจ
ใต้พระตำหนักเหล่าขุนนางและทหารต่างก็ยืนกันเป็นระเบียบ ใขณะที่ซูเทียนซื่อที่อยู่เหนือพวกเขากำลังกล่าวถึงปัญหาของหนานหลิง
“ตอนนี้องค์ชายเจ็ด เซียวหย่วนเหยาแห่งหนานหลิงได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้แล้ว พวกเขาจะเดินทางมาถึงต้าชิงในเดือนสิบเอ็ดและถวายเครื่องบรรณาการให้ข้า” ซูเทียนซื่อพูดขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เขาไม่ได้มาเพื่อขอความคิดเห็นคนเหล่านี้ แต่มาเพื่อแจ้งข้อเท็จจริงให้รับทราบกันเท่านั้น
สิ้นเสียงรับสั่ง บรรยากาศในพระตำหนักก็ดูคึกคักขึ้นมาทันที
คนด้านล่างเริ่มพูดคุยกันถึงประเด็นดังกล่าว แต่ละคนต่างก็ตื่นเต้น
“ฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งหนานหลิงเพิ่งขึ้นครองบังลังก์ และการแย่งชิงตำแหน่งของพวกเขาก็เพิ่งจะสงบลง แต่เขาก็รีบมาถวายเครื่องบรรณาการแด่ฝ่าบาทอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าต้าชิงเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนราชวงศ์ต้องมาแสดงความยินดี!”
“ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถที่ทำให้หนานหลิงยอมจำนนต่อต้าชิงได้ เป็นพรของประชาชนแล้ว!”
ซูเทียนซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรอย่างสุขุม พลางฟังคำสรรเสริญเยินยอของผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีต่อเขาเงียบ ๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับอยู่ตลอด
ซูห้าวยืนอยู่ด้านหน้าสุด เขาเองก็ยิ้มพลางฟังเสียงหัวเราะชื่นชมไม่ขาดปากจากคนรอบข้าง บางจังหวะสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างที่นั่งอยู่หลังม่านหนาทึบเหนือหัว จากนั้นรอยยิ้มหยันก็ผุดขึ้นทันที
“ฝ่าบาท ข้าได้ยินว่าหลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งหนานหลิงสิ้นพระชนม์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เคยแอบไปแสดงความเสียใจ หลังจากแสดงความเสียใจแล้วเซียวหย่วนเหยาผู้นี้ก็ได้กวาดล้างอุปสรรคอย่างเซียวหย่วนซานซึ่งเป็นพี่ชายสายตรงจนขึ้นครองบัลลังก์ได้สำเร็จ ฝ่าบาทพระองค์ไม่สงสัยหรือว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล?” ซูห้าวถาม
ซูเทียนซื่อสงสัย “ไม่ชอบมาพากลอะไร? ท่านลุงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือจะบอกว่าการที่เซียวหย่วนเหยาขึ้นครองบัลลังก์เกี่ยวข้องกับผู้สำเร็จราชการแทน?”
ความเงียบอันแปลกประหลาดปกคลุมเหนือพระตำหนักอยู่พักหนึ่ง มันเงียบขนาดว่าถ้าเข็มสักเล่มตกลงบนพื้นก็ยังได้ยิน
สายตาของทุกคนมองขึ้นไปเหนือพระตำหนักตามคำถามของหมิงอ๋อง คนเพียงผู้เดียวที่ไม่ต้องยืนแต่สามารถนั่งฟังการว่าการได้เหมือนกับฮ่องเต้
ไม่ผิด เหนือผ้าม่านนั้น
เนื่องจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักจะนั่งตระหง่านอยู่หลังม่านทึบ จึงเห็นเพียงเงาที่เลือนรางและได้ยินเพียงน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำของเขาเท่านั้น