ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2210 ไม่อยากให้มีสงคราม
บทที่ 2210 ไม่อยากให้มีสงคราม
ความโปรดปรานนี้แม้แต่ลุงแท้ ๆ ของฝ่าบาทที่เป็นถึงอ๋องก็ไม่เคยได้รับมาก่อน
“อ้อ งั้นรึ? จื่อเย่เคยไปร่วมพิธีแสดงความเสียใจต่อฮ่องเต้องค์ก่อนของหนานหลิงด้วยหรือ?” ซูเทียนซื่อแกล้งทำเป็นไม่รู้และถามกลับ
ไม่มีเสียงใดดังขึ้นหลังม่านหนาอยู่พักใหญ่ ในขณะที่ทุกคนคิดว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นี้คงจะไม่ตอบแล้ว ก็มีเสียงกระแอมไอเบา ๆ ดังขึ้น “ขอตอบฝ่าบาทว่าเป็นความจริง! เพียงแต่นี่ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด ทั้งหมดเป็นไปอย่างเปิดเผยและบริสุทธิ์ใจ!”
“เปิดเผยและบริสุทธิ์ใจ? ฮ่องเต้องค์นั้นไม่ยอมจำนนต่อต้าชิง รุกรานชายแดนและรบกวนความสงบสุขของเราหลายครั้ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ช่างเป็นคนดีนัก พอตาแก่ดื้อรั้นนั่นตาย เจ้าก็ไปร่วมพิธีแสดงความเสียใจต่อเขาทันที หรือว่าพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกัน?” ซูห้าวยิ้มหยัน ยิงทุกคำถามส่งตรงไปยังผู้ที่อยู่หลังม่าน
ขุนนางทั้งหลายสบตากันไปมา พอเห็นเงาร่างที่อยู่เหนือผ้าม่านและฝ่าบาทที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร คนขี้ขลาดที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็กลายเป็นเต่าหัวหดทันที
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้นี้ขวางหูขวางตาหมิงอ๋องมานานแล้ว ทั้งคู่เป็นอ๋องเหมือนกัน หนึ่งในนั้นเป็นลุงทางสายเลือดของฝ่าบาท ส่วนอีกคนเป็นเพียงแค่อ๋องต่างแซ่ ตามหลักแล้วควรมีความแตกต่างบางอย่างระหว่างพวกเขา
และก็มีความแตกต่างจริง ๆ แต่เป็นความแตกต่างในทางตรงกันข้าม เพราะลุงแท้ ๆ ของฝ่าบาทที่เป็นอ๋องกลับไม่น่าเคารพ ไม่น่าเกรงขามเท่าอ๋องต่างแซ่คนหนึ่ง
ซูห้าวเห็นฉินจื่อเย่เป็นหนามยอกอก ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี
สายตาของทุกคนมองไปบนพระที่นั่งพร้อมกัน เงาที่อยู่หลังม่านยังคงนั่งอย่างสงบเรียบร้อยเหมือนก่อนหน้านี้ แผ่นหลังนั้นเหยียดตรงไม่ได้มีความเกียจคร้านเพราะการซักถามของหมิงอ๋อง แม้แต่เสียงก็ไม่ตะกุกตะกักเป็นระลอกคลื่นเลยแม้แต่น้อย
“ข้าปกครองต้าชิงให้ร่มเย็นเป็นสุข ให้ความสำคัญกับมารยาทและกฎเกณฑ์จนเป็นที่ยอมรับ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่านอกจากหนานหลิงแล้ว แม้แต่ตอนฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์โจวตะวันตกและเหนือสิ้นพระชนม์ ข้าก็เคยส่งทูตของต้าชิงไปแสดงความอาลัย หนานหลิงอยู่ห่างจากชายแดนเพียงนิดและการเดินทางก็ไม่ไกลนัก เหตุใดจึงไม่สามารถไปแสดงความอาลัยได้เล่า? หรือจะบอกว่าแคว้นต้าชิงให้เกียรติเฉพาะผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์อยู่ใต้อำนาจเท่านั้น?”
เสียงที่ดังมาจากด้านหลังม่านเหมือนถูกฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง ตามปกติพวกเขาได้ยินผู้ที่อยู่หลังม่านพูดน้อยมาก การที่อีกฝ่ายร่ายยาวแบบนี้แทบจะไม่มีให้เห็นเลย ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ผู้นี้มีจิตใจเย็นชาและเลือดเย็น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพูดมาก ตอนนี้พูดออกมาได้ขนาดนี้นับว่าน่าตกใจ
ทุกคนที่นี่ต่างก็เคยฟังเสียงนี้มาบ้างแล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจนัก ทว่าพอกู้หนิงอันได้ยินเสียงดังกล่าว เขาก็เกิดอาการงุนงง
เสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นเคย เหมือนกับว่าเคยได้ยินที่ไหนอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังอยู่ในพระตำหนัก เขาไม่จึงกล้าประมาทสะเพร่า ทำได้แต่เพียงเงี่ยหูฟังต่อไป
ซูห้าวยิ้มหยัน “งั้นรึ? เป็นความจริงที่ต้าชิงให้ความสำคัญกับมารยาทและกฎเกณฑ์ แต่ว่าทหารจำนวนมากนั้นเล่า? หรือว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลืมไปแล้วว่าคนจากหนานหลิงเคยรังแกแม่ทัพถานเสี่ยวและภรรยาไว้อย่างไร? ความชิงชังที่ลึกซึ้งเช่นนี้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ลืมไปแล้วหรือ?”
ถานเย่สิงที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งทื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานกว่าสิบปีแล้ว ตอนนี้กลับถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอย่างกะทันหัน พอนึกถึงลูกชายและลูกสะใภ้ที่ตายอย่างน่างสังเวช เพียงแค่จินตนาการสภาพศพที่น่าอนาถของพวกเขา ถานเย่สิงก็หายใจไม่ออกด้วยความเจ็บปวด
“แม่ทัพถาน ท่านพูดสิว่าใช่หรือไม่?” เมื่อซูห้าวเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของถานเย่สิงก็ลำพองใจ
ถานเย่สิงต้องการปรับความคิดของตัวเอง แต่กลับมีคนต้องการออกมาพูดเพื่อตัวเอง
พูดอะไร?
ความเจ็บปวดภายในใจถานเย่สิงนั้นลึกล้ำยิ่งกว่าทะเล หลายปีที่ผ่านมานี้เขาไม่เคยเดินออกมาจากมันได้เลย ตอนนี้มีคนกล่าวถึงมันอีกครั้ง แผลเป็นที่เพิ่งหายก็เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา
สายตาของทุกคนมองไปที่ถานเย่สิงโดยพร้อมเพียงกัน พลางนึกถึงสภาพที่น่าสังเวชเมื่อปีนั้น ในตำหนักมีทหารบางคนเคยเห็นภาพอนาถใจด้วยตาตัวเอง พอตอนนี้คิดขึ้นมา…
ร่างกายถานเย่สิงก็เริ่มสั่นเทา ขอบตาเขาแดงเรื่อขึ้นมาทันที ทั้งตัวสั่นเทิ้ม เขาพยามยามระงับความโศกเศร้าที่โหมกระหน่ำเข้ามา “ข้า… ข้า…”
ถ้าหากไม่มีสงครามได้จะดีมากแค่ไหนกัน!
หากเป็นเช่นนั้นลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาก็คงไม่ตาย ไม่ตายอย่างน่าสังเวชแบบนั้น ทุกครั้งที่เขาย้อนคิดถึงเรื่องนี้ ก็เหมือนกับว่าหัวใจกำลังหลั่งเลือดออกมา
ช่างเจ็บปวดนัก!
ในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพที่ต่อสู้มาตลอดชีวิต วินาทีที่เห็นศพลูกชายและลูกสะใภ้ จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ถ้าหากไม่มีสงครามจะเป็นเรื่องที่ดีมากแค่ไหน
สิบกว่าปีที่ผ่านมาความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจเขามาโดยตลอด ถ้าหากไม่มีสงครามลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาก็จะไม่ตาย ถ้าหากไม่มีสงครามก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนมากมายออกจากบ้านเกิด เขาทำสงครามมาตลอดชีวิต เห็นกองกระดูกขาวโพลนนับไม่ถ้วนเกลื่อนทั่วสนามรบ ทุกครั้งที่ทำสงครามมีพี่น้องมากมายที่ต้องล้มตาย กระดูกของผู้สูญเสียกองใหญ่เสียยิ่งกว่าภูเขา และคนเหล่านั้นล้วนเป็นเลือดเนื้อ เป็นลูก ที่มีค่าในใจบิดามารดาทั้งสิ้น
เช่นเดียวกัน พวกพี่น้องที่เสียสละชีวิตให้กับสงครามคงจะคิดเหมือนกับเขาว่าหากไม่มีสงครามคงจะเป็นการดีกว่า
ถานเย่สิงโดนพูดจี้จุดที่เจ็บปวดเข้า น้ำตาของชายแก่หลั่งลงมาไม่หยุด ซูห้าวที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจและรอคอยให้ถานเย่สิงเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรออกมาบ้าง
ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ฝ่าบาท ข้ากลับคิดว่าหากหนานหลิงยอมถอยกลับโดยไม่แข็งข้อ และยอมสวามิภักดิ์ใต้อำนาจของต้าชิงนับตั้งแต่นี้ไปได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี!”
พอซูห้าวได้ฟังก็โกรธจนหนวดกระดิก เขามองแม่ทัพใหญ่ที่ต่อสู้มาตลอดชีวิตและตำหนิอย่างเดือดดาล “ว่าอย่างไรนะ? แม่ทัพใหญ่ถานจนถึงตอนนี้เจ้าก็หวาดกลัวแล้วรึ? เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ การบุกเบิกดินแดนเป็นภาระหน้าที่ของเจ้า การปกป้องแว่นแคว้นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าได้รับฉายาว่าแม่ทัพทหารม้า ตอนนี้กลับมาพูดคำที่บั่นทอนขวัญกำลังใจของกองทัพออกมา แท้จริงแล้วเจ้ามีเจตนาอย่างไรกันแน่!”
ถานเย่สิงยิ้มอย่างโศกเศร้า “ตอบท่านอ๋อง ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นใด ตอนนี้ในต้าชิง ฟ้าฝนต้องตามฤดูกาล ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้เป็นช่วงตั้งทัพสะสมกำลังทหารและเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนสะสมเสบียง ถ้าหากทำสงครามตลอดจนประชาชนต้องพลัดถิ่นฐาน การบุกเบิกดินแดนของพวกเราจะมีประโยชน์อันใดเล่า?”
ใช่แล้ว การทำสงครามเพื่อต้าชิงนั้นดี แต่ว่าตอนนี้ต้าชิงก็ดีมากพอแล้ว เหตุใดจึงยังต้องไปทำสงครามอีก?
ผู้ที่เสียเปรียบที่สุดในการทำสงครามคือประชาชน การทำสงครามนั้นกินเวลาต่อเนื่องจนประชาชนต้องพลัดถิ่นฐาน พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนอยู่ข้างนอกเพื่อเห็นประชาชนในเมืองตกที่นั่งลำบากและไม่อาจอยู่อย่างสงบสุข พวกเขาทำไปเพื่ออะไรกัน?
“พูดเหลวไหล!” ซูห้าวหายใจหอบถี่พลางเย้ยหยันว่า “แม่ทัพใหญ่ถาน เจ้าคงจะไม่ได้ถูกเซียวหย่วนเหยาฮ่องเต้น้อยที่หนวดยังไม่ขึ้นผู้นั้นซื้อตัวไปแล้วใช่หรือไม่?”