ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2211 จื่อเย่เสียมารยาทแล้ว
บทที่ 2211 จื่อเย่เสียมารยาทแล้ว
ซูห้าวพูดจาปากพล่อยจนทุกคนเหงื่อออกแทนเขา แม้กระทั่งคนขี้ขลาดก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึก
หนวดยังไม่ขึ้นปาก ต้าชิงของพวกเราก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ทุกคนพากันทอดถอนใจตามแรงอารมณ์ หมิงอ๋องผู้นี้ช่างเอาแต่ใจตัวเองเสียจริง
ผู้ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งไม่ได้เก็บคำพูดของซูห้าวมาใส่ใจแต่อย่างใด ร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวไม่ปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ถานเย่สิงยิ้มหยัน “ในความคิดของท่านอ๋อง ขอเพียงไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามก็ถือเป็นสายลับของหนานหลิงแล้วหรือ?”
สายตาของซูห้าวเย็บเยียบ “หรือว่าไม่ใช่?”
ถานเย่สิงไม่อยากโต้เถียงกับอีกฝ่าย “ท่านอ๋อง ลูกชายและลูกสะใภ้ข้าตายด้วยน้ำมือของคนหนานหลิง ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนหนานหลิงได้ ต้องการซื้อตัวข้ารึ? ฝันไปเถอะ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะคืนลูกชายและลูกสะใภ้ข้ามาได้เท่านั้น!”
ยิ่งถานเย่สิงพูดน้ำเสียงของเขาก็ยิ่งแข็งกระด้าง ท้ายที่สุดแม่ทัพใหญ่ก็เริ่มจะมีอารมณ์
สีหน้าของซูห้าวตอนนี้ดูไม่ได้ ถานเย่สิงพูดออกมาว่าต้องให้ลูกชายและลูกสะใภ้ฟื้นคืนขึ้นมาเสียก่อนถึงจะยอมเข้าร่วมกับหนานหลิง คนตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร อีกฝ่ายเพียงยืนยันให้ฮ่องเต้มั่นใจว่าตลอดชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางถูกหนานหลิงซื้อตัวไป
อย่างไรก็ตาม ซูห้าวยังไม่ยอมแพ้ เขายังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าผู้ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน “แม่ทัพใหญ่ถานได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายเพื่อความรุ่งเรืองและความสงบสุขของต้าชิง ความตั้งใจนี้ของเขาชัดเจนเสมอมา หมิงอ๋อง หากบอกว่าแม่ทัพใหญ่ถานถูกหนานหลิงซื้อตัว ข้าจะเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ!”
ซูห้าวที่ตอนแรกอยากจะพูดต่อได้แต่กลืนทุกอย่างกลับลงไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะไม่สามารถนำหลักฐานอะไรออกมาได้ แต่วันนี้ฉินจื่อเย่ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าเหตุใดถึงต้องไปแสดงความอาลัยที่หนานหลิง
“ฝ่าบาท เรื่องที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปแสดงความเสียใจที่หนานหลิงนั้นไม่น่าสงสัยหรือ? เขาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของต้าชิง ทุกการกระทำล้วนเป็นตัวแทนของฮ่องเต้ เขาแอบไปแสดงความอาลัย ผู้ใดจะรู้ว่าเขาแอบไปสมคบคิดอะไรไว้!” ซูห้าวยังคงตั้งคำถามไม่หยุด
ซูห้าวไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะพิสูจน์ว่าฉินจื่อเย่กับเซียวหย่วนเหยาสมคบคิดกัน แต่การที่อีกฝ่ายถึงกับไปแสดงความอาลัยด้วยตัวเองก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหนานหลิงไม่ธรรมดา
วันนี้เขาต้องการให้ฉินจื่อเย่พูดให้ชัดเจนว่ามีจุดประสงค์อะไร แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ แต่ว่า…
ซูห้าวก้มหัวลง ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีแผ่ไอสังหารอันรุนแรงออกมา
ไม่มีผู้ใดเห็นท่าทางเขา สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างของถานเย่สิงและฉินจื่อเย่
ซูห้าวหัวเราะหยันในใจ เรื่องของถานเย่สิงในวันนี้เป็นเพียงหัวข้อที่ใช้ดึงดูดความสนใจเท่านั้น อย่างน้อยก็สามารถทำให้ซูเทียนซื่อเข้าใจว่าตอนนี้ตาแก่ผู้นี้ให้ความสำคัญกับสันติภาพมากกว่าสงคราม
และจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การไปแสดงความอาลัยต่อหนานหลิง แต่อยู่ที่ท่าทีของฉินจื่อเย่ต่างหาก
ฉินจื่อเย่มีลักษณะของมังกร ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้รับความช่วยเหลือจากเขาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ชายผู้นี้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มานานแล้ว
ส่วนตอนนี้…
ซูห้าวเงยหน้ามองฮ่องเต้ ประมุขผู้มีอำนาจสูงสุดโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าอีกฝ่ายดูไร้เดียงสา แต่เนื่องจากขึ้นครองตำแหน่งเป็นระยะเวลานาน รัศมีของกษัตริย์จึงแผ่กระจายออกมาทั่วร่าง แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถควบคุมได้
บัดนี้ฮ่องเต้เติบใหญ่แล้ว ถ้าหากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ยอมถอย เช่นนั้นก็จะเป็น…
การแทรกแซงทางการเมือง!
จุดประสงค์ของเขาในวันนี้ ต้องการทำให้ซูเทียนซื่อเข้าใจผิดว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังแอบทำอะไรลับหลัง
ผู้ที่อยู่หลังม่านไร้ซึ่งความเครียดและความกลัว เสียงของเขาทุ้มต่ำเสมอ มันสงบเหมือนน้ำในทะเลสาบที่ปราศจากระลอกคลื่นใด ๆ ไม่สิ มันคือน้ํานิ่ง
เขานั่งอยู่บนนั้นมาสิบกว่าปีแล้ว เขาไม่เคยแสดงอารมณ์ทางสีหน้า หรือพูดด้วยเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ แบบไม่เสถียรเลยสักครั้ง
เสียงของฉินจื่อเย่ยังคงทุ้มต่ำและเย็นชา แม้จะเจือไปด้วยความเย้ยหยันเหน็บแนมก็ตาม “ในเมื่อกล่าวว่าข้าแอบไปแสดงความอาลัย เช่นนั้นท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรกัน?”
ใช่แล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?
เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้อื่นแอบไปแสดงความอาลัย?
ทุกคนเบนสายตาจากผ้าม่านไปยังร่างของหมิงอ๋อง ซูเทียนซื่อเองก็ลังเลเช่นกัน “จื่อเย่กล่าวไม่ผิด ท่านลุงรู้ได้อย่างไร?”
ซูห้าวกลืนน้ำลาย จู่ ๆ ก็ถูกประโยคนี้ของฉินจื่อเย่ทำให้นิ่งงัน
เขาควรตอบว่าอย่างไร?
บอกว่าฟังผู้อื่นพูด?
ฟังผู้ใดพูดกัน คนหนานหลิง?
เขาไปแสดงความอาลัยที่หนานหลิง คนข้างกายย่อมต้องมีเพียงแค่คนหนานหลิงหรือคนสนิทของเขาเท่านั้น ถ้าหากบอกว่าเป็นคนหนานหลิง แล้วเขาจะติดต่อกับคนหนานหลิงได้อย่างไร?
ถ้าหากบอกว่าเป็นคนสนิทของอีกฝ่าย องครักษ์ลับที่เลี้ยงดูมาเองจะถูกซื้อตัวไปได้อย่างไร? เขาแงะปากมาตั้งหลายปีแล้ว เพราะเขาไม่มีทางรู้เลยว่าแท้จริงนั้นมีเท่าใด!
เหมือนยกก้อนหินขึ้นมาทุบเท้าตัวเอง ตอนนี้ซูห้าวขึ้นหลังเสือแล้ว ทีนี้จะลงอย่างไรเล่า
“ข้า…” ขณะที่ซูห้าวกำลังคิดว่าควรจะอธิบายอย่างไร เสียงตึงเครียดก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังม่าน “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ด้านหลังนั้นไม่มีการเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าเขาจะลดเสียงลงเพื่อพูดบางอย่าง
ทุกคนประหลาดใจมาก ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รักษาความสงบเยือกเย็นมาตลอด วันนี้… เสียมารยาทแล้วใช่หรือไม่?
แม้แต่ซูเทียนซื่อก็ยังลืมสอบหาความจริงจากซูห้าวไปชั่วครู่ และหันไปมองฉินจื่อเย่ “จื่อเย่เกิดอะไรขึ้น?”
คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเสียมารยาทในพระตำหนักเป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ผู้ที่อยู่ด้านหลังม่านร้อนใจมาก เขาผุดลุกขึ้นยืนและประสานมือคำนับ “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องด่วน วันนี้เกรงว่า…”
ซูเทียนซื่อโบกมือ “หาได้ยากที่จะเห็นจื่อเย่เสียมารยาท จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไปเถอะ ไปเถอะ!”
หลังจากผู้ที่อยู่หลังม่านประสานมือคำนับ เขาก็จากไปทันที หลังจากเงาร่างที่อยู่ด้านหลังหายลับไปแล้ว ทุกคนถึงได้กลับมารู้สึกตัว
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้นี้ก็มีเลือดเนื้อมีหัวใจนะ!
เขาก็เสียมารยาทเป็น!
เมื่อครู่น้ำเสียงและคำพูดของเขาทุ้มต่ำสงบนิ่ง แต่กลับเจือปนไปด้วยความกังวลลึก ๆ ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริง ๆ แล้ว!
แต่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้นี้โหดเหี้ยมไร้ความปราณีมาตลอด เรื่องอันใดและคนแบบไหนกันที่สามารถทำให้เขาเสียมารยาทได้?
ไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่าบาทรู้หรือไม่?
ซูห้าวเห็นฉินจื่อเย่จากไปก็ประหลาดใจยิ่ง เหตุใดอีกฝ่ายจึงเสียมารยาท?
หลายปีที่ผ่านมา นอกเสียจากว่ามีธุระจริง ๆ และไม่มาเข้าเฝ้า ทุกครั้งที่มาเขาก็ไม่เคยมาสายและออกก่อนเวลา แท้จริงแล้วมีเรื่องใดกัน?
ซูเทียนซื่อไม่ชอบพูดลับหลังผู้อื่นและเขาเองก็ไม่ชอบให้ผู้อื่นพูดลับหลังเช่นกัน ดูเหมือนว่าฮ่องเต้หนุ่มจะลืมสิ่งที่ถามซูห้าวไปเมื่อครู่ เขาเป็นฝ่ายพูดบางอย่างขึ้นแทน “แม้ว่าตลอดมาหนานหลิงจะไม่ยอมสวามิภักดิ์อยู่ใต้อำนาจเรา แต่ตอนนี้ก็ยินยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีแล้ว ในใจข้าเองก็มีความกังวล เพียงแต่ว่าผู้ที่มาเยือนนั้นเป็นแขก กรมพิธีการจะต้องจัดการเรื่องนี้ และแน่นอนว่าจะต้องแสดงเกียรติภูมิและอำนาจของต้าชิงออกมาให้พวกเขาประจักษ์ด้วย”